คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4014/2530

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่จำเลยมีความสัมพันธ์ทางชู้สาว กับสามีโจทก์จนถึงขั้นสามีโจทก์ให้โจทก์ยอมรับจำเลยเป็นภรรยาน้อย มิฉะนั้นจะทิ้งโจทก์และจำเลยตบ หน้าสามีโจทก์ในร้านอาหารเพราะความหึงหวงต่อหน้าโจทก์ ทั้งสามีโจทก์และจำเลยยังได้ร่วมกันกู้เงินจากธนาคารมาสร้างหอพักในที่ดินของจำเลย และมีผู้รู้เห็นว่าสามีโจทก์ได้มาหาและพักนอนอยู่ที่บ้านจำเลยหลายครั้ง เช่นนี้ พฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่าจำเลยได้แสดงตน โดย เปิดเผยว่ามีความสัมพันธ์ในทำนองชู้สาว กับสามีโจทก์ โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องเรียกค่าทดแทนจากจำเลยได้ตามมาตรา1523 วรรคสอง แต่คำขอของโจทก์ที่ขอให้จำเลยระงับการมีความสัมพันธ์ในทำนองชู้สาว กับสามีโจทก์นั้นสภาพของคำขอดังกล่าวไม่เปิดช่องศาลไม่อาจบังคับได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายเลขาอิศรางกูร ณ อยุธยา จำเลยได้มีความสัมพันธ์กับสามีโจทก์ในทำนองชู้สาวโดยเปิดเผย โดยร่วมหลับนอนกันที่บ้านพักของสามีโจทก์ และทำการค้าสร้างหอพักร่วมกัน จำเลยได้แสดงตนโดยเปิดเผยว่ามีความสัมพันธ์กับสามีโจทก์ในทำนองชู้สาว โดยตบหน้าสามีโจทก์ในร้านอาหารเพราะความหึงหวงต่อหน้าโจทก์ ขอให้ศาลพิพากษาบังคับให้จำเลยระงับความสัมพันธ์ในทำนองชู้สาวกับสามีโจทก์ หากไม่ระงับให้ใช้ค่าทดแทนเดือนละ 5,000 บาท จนกว่าจะระงับความสัมพันธ์และให้จำเลยใช้ค่าทดแทนในระยะเวลาที่ผ่านมาเป็นเงิน 200,000 บาทแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ได้มีความสัมพันธ์กับสามีโจทก์ในทำนองชู้สาวโดยเปิดเผยตามที่โจทก์ฟ้อง จำเลยกับสามีโจทก์มีความสนิทสนมชอบพอกันฐานเพื่อน จำเลยสร้างหอพักด้วยทุนของจำเลยเอง ไม่ได้ตบหน้าสามีโจทก์ต่อหน้าโจทก์ และไม่ได้หลับนอนกับสามีโจทก์ขอให้ยกฟ้อง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาที่ว่าจำเลยได้แสดงตนโดยเปิดเผยว่ามีความสัมพันธ์ในทำนองชู้สาวกับสามีโจทก์หรือไม่นั้น โจทก์เบิกความว่าโจทก์ทราบข่าวจากผู้อื่นว่าสามีโจทก์มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับจำเลยตั้งแต่ปี 2519 ในปีนั้นโจทก์พบเห็นคนทั้งสองเล่นโบว์ลิ่งอยู่ด้วยกัน แต่ตอนนั้นสามีโจทก์ปฏิเสธว่าไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรเป็นพิเศษกับจำเลย สามีโจทก์รับปากว่าจะเลิกยุ่งเกี่ยวกับจำเลย ต่อมาระหว่างโจทก์พักอยู่ที่บ้านพักสามีโจทก์ที่อำเภอนางรองหลังจากที่โจทก์กลับจากไปฝึกงานและทำหน้าที่ต่างประเทศเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2526 จนถึงต้นเดือนมีนาคม 2526 นั้น สามีโจทก์ได้มาบ้านพักที่อำเภอนางรองเพียงสองครั้ง ครั้งแรกเป็นเวลาดึกอีกครั้งหนึ่งเป็นเวลาเช้าตรู่ โดยอ้างว่าติดการอบรมที่อำเภอเมืองบุรีรัมย์ และสามีโจทก์ได้พูดว่าหญิงคนหนึ่งขอเป็นภริยาน้อยแต่บ่ายเบี่ยงไม่ยอมบอกว่าหญิงคนนั้นเป็นผู้ใด ต่อมาโจทก์ทราบว่าจำเลยกู้เงินธนาคารให้สามีโจทก์สร้างหอพักในที่ดินของจำเลยติดกับบ้านของจำเลย โจทก์ขอให้สามีโจทก์ยุติการมีความสัมพันธ์กับจำเลยสามีโจทก์จึงได้บอกว่าได้จำเลยเป็นภริยาแล้ว ขอให้โจกท์ยอมรับว่าจำเลยเป็นภริยาน้อยของสามีโจทก์ แต่โจทก์ไม่ยินยอม ได้ไปตามจำเลยมาพบเพื่อพูดจากันอีก สามีโจทก์ว่าไม่อาจจะทอดทิ้งจำเลยได้ ส่วนจำเลยรับว่าจะเลิกการมีความสัมพันธ์กับสามีโจทก์ แต่ขอเวลาสักระยะหนึ่ง ต่อมาเมื่อโจทก์ทราบจากนางสุลิสาว่าจำเลยเคยมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับนายพจน์สามีของนางสุลิสา โจทก์ได้พานางสุลิสาไปพบและเล่าเรื่องนี้ให้สามีโจทก์ทราบ แต่สามีโจทก์ว่าไม่ถือเรื่องเหตุการณ์ที่ผ่านมา ให้โจทก์ยอมรับว่าจำเลยเป็นภริยาน้อยของสามีโจทก์ มิฉะนั้นจะทิ้งโจทก์ จากนั้นสามีโจทก์ไปพบจำเลยที่ร้านอาหารโจทก์กับนางสุลิลาตามไปพบเห็นสามีโจทก์กับจำเลยมีเรื่องตบตีกัน จนกระทั่งวันต่อมาโจทก์กับนางระเบียบซึ่งเป็นเพื่อนกันกลับจากร้านอาหารขับรถจักรยานยนต์ไปที่บ้านจำเลย พบสามีโจทก์ลงจากบ้านจำเลยมาไล่ให้โจทก์กลับบ้านแล้วเกิดทะเลาะกัน โจทก์ตะโกนให้ชาวบ้านทราบว่าสามีโจทก์เป็นชู้กับจำเลย ศาลฎีกาพิเคราะห์คำเบิกความของโจทก์แล้วเห็นว่า โจทก์เป็นภริยาคงไม่เบิกความดังกล่าวว่าสามีโจทก์มีพฤติการณ์ที่แสดงให้เห็นว่ามีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับจำเลยโดยไม่เป็นความจริง เพราะนอกจากจะเป็นที่เสื่อมเสียชื่อเสียงสามีโจทก์ซึ่งเป็นข้าราชการแล้ว ยังเป็นการเสียหายต่อโจทก์เองและบุตรที่เกิดจากสามีโจทก์ด้วย และไม่มีเหตุน่าสงสัยว่าโจทก์แกล้งเบิกความทำให้เป็นที่เสียหายแก่สามีโจทก์และจำเลยด้วยเกี่ยวกับเรื่องที่จำเลยกู้เงินจากธนาคารให้สามีโจทก์สร้างหอพักในที่ดินของจำเลยนั้น จำเลยก็เบิกความรับว่าสามีโจทก์ร่วมลงชื่อเป็นผู้กู้เงิน และในการก่อสร้างหอพักนั้นสามีโจทก์ได้มาควบคุมการก่อสร้าง ที่โจทก์ว่าสามีโจทก์กับจำเลยมีความสัมพันธ์กันฉันชู้สาวนี้ โจทก์มีหนังสือร้องเรียนไปยังเกษตรจังหวัดซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของจำเลย และสามีจำเลยก็ได้มีหนังสือร้องเรียนไปยังนายอำเภอบุรีรัมย์ ซึ่งในข้อนี้นายสุวิทย์ พรหมประชุม พยานจำเลยซึ่งเป็นสามีจำเลยเบิกความรับว่า โจทก์ขอร้องให้นายสุวิทย์ทำหนังสือร้องเรียนต่อนายอำเภอเมืองบุรีรัมย์กล่าวหาว่าจำเลยเป็นชู้กับสามีโจทก์ สำหรับเหตุการณ์ก่อนหน้านี้โจทก์มีนางสุลิสามาเบิกความประกอบคำของโจทก์ว่า สามีโจทก์ได้ไปพบจำเลยที่ร้านอาหาร โจทก์ได้ตามไปพบสามีโจทก์กับจำเลยมีเรื่องตบตีกัน และโจทก์มีนางระเบียบมาศคำจันทร์ เป็นพยานเบิกความประกอบคำของโจทก์ในเรื่องที่โจทก์กลับจากร้านอาหารขับรถไปที่บ้านจำเลยพบสามีโจทก์ลงจากบ้านจำเลยมาไล่ให้โจทก์กลับบ้าน นางสุลิสาและนางระเบียบพยานโจทก์นั้นไม่มีสาเหตุที่จะแกล้งเบิกความใส่ร้ายผู้ใด คำเบิกความมีน้ำหนักเป็นการสนับสนุนให้คำเบิกความของโจทก์มีน้ำหนักน่าเชื่อยิ่งขึ้นนอกจากนี้โจทก์ยังมีนายวิเชียร พุ่มปรางค์ ซึ่งมารับจ้างทำงานแบกหามในการก่อสร้างหอพักของจำเลย นายนิวัฒน์ กัณหา และนายสากล ชาติชนะซึ่งเป็นนักศึกษาที่เช่าหอพักดังกล่าวเป็นพยานรู้เห็นความสัมพันธ์ของสามีโจทก์กับจำเลย ว่าเห็นสามีโจทก์ได้มาหาและพักนอนอยู่บ้านจำเลยหลายครั้ง พยานโจทก์ทั้งสามปากนี้ก็ไม่มีสาเหตุที่จะแกล้งเบิกความใส่ร้ายผู้ใด คำเบิกความจึงมีน้ำหนักและเหตุผลเชื่อถือได้ที่จำเลยนำสืบว่าจำเลยกับสามีโจทก์ไม่ได้มีความสัมพันธ์ต่อกันฉันชู้สาว ไม่เคยมีเรื่องตบตีกัน ในเดือนมีนาคม 2526 ขณะที่จำเลยกับเพื่อนกำลังนั่งรับประทานอาหารอยู่ในร้าน สามีโจทก์เพียงแต่เข้ามาพบนายสุทัศน์ที่มาร่วมนั่งรับประทานอาหารอยู่กับจำเลยแล้วได้รีบกลับไป สักครู่โจทก์จึงเข้ามาถามหาสามีนั้น เห็นว่าหากเป็นความจริงก็ไม่น่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้โจทก์ได้พูดจาด่าว่าทำนองหึงหวงสามีโจทก์ต่อหน้าจำเลยกับเพื่อนในร้านอาหาร ศาลฎีกาเห็นว่าหลักฐานที่โจทก์นำสืบมีน้ำหนักและเหตุผลน่าเชื่อกว่าพยานหลักฐานที่จำเลยนำสืบ คดีฟังได้ว่าสามีโจทก์กับจำเลยมีความสัมพันธ์ต่อกันฉันชู้สาว ซึ่งตามพฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่าจำเลยได้แสดงตนโดยเปิดเผยว่ามีความสัมพันธ์ในทำนองชู้สาวกับสามีโจทก์ อันเป็นเหตุที่โจทก์จะฟ้องเรียกค่าทดแทนจากจำเลยได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยใช้ค่าทดแทนแก่โจทก์ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น แต่ที่โจทก์ขอให้ศาลบังคับจำเลยให้ระงับการมีความสัมพันธ์ในทำนองชู้สาวกับสามีโจทก์ด้วยนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าการกระทำของจำเลยที่โจทก์ฟ้องเป็นการแสดงตนโดยเปิดเผยเพื่อแสดงว่าตนมีความสัมพันธ์กับสามีโจทก์ในทำนองชู้สาว โจทก์เพียงแต่มีสิทธิที่จะเรียกค่าทดแทนจากจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1523 วรรคสอง ทั้งโดยสภาพของคำขอดังกล่าวไม่เปิดช่องให้ศาลบังคับคดีได้ ฉะนั้นที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาบังคับจำเลยตามคำขอในข้อนี้จึงเป็นการไม่ชอบ สมควรแก้ไขให้ถูกต้อง”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอของโจทก์ที่ขอให้จำเลยระงับการมีความสัมพันธ์ในทำนองชู้สาวกับสามีโจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share