คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5680/2530

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของศาลแรงงานกลางนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินของจำเลยไว้ ต่อมาวันที่ 25มิถุนายน 2530 จำเลยถูกศาลแพ่งสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด ครั้นวันที่29 มิถุนายน 2530 เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึดเช่นนี้ จำเลยจะร้องคัดค้านการขายทอดตลาดทรัพย์ดังกล่าวไม่ได้อำนาจในการดำเนินคดีย่อมตก แก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พุทธศักราช 2483 มาตรา 22 เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มาศาลในวันนัดไต่สวนคำร้อง ของจำเลยที่ขอคัดค้านการขายทอดตลาดทรัพย์ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ย่อมมีอำนาจคุ้มครองป้องกันสิทธิของจำเลย ศาลจึงไม่มีหน้าที่ต้องสอบถามเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ว่า ประสงค์จะดำเนินคดีต่อไปหรือไม่.

ย่อยาว

คดีนี้ มูลกรณีสืบเนื่องมาแต่เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยผู้เป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษา เพื่อนำเงินชำระหนี้ตามคำพิพากษาแก่บรรดาโจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา
ข้อเท็จจริงและพฤติการณ์แห่งคดีมีว่า ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยผู้เป็นนายจ้างชำระค่าจ้างค้างจ่ายแก่บรรดาโจทก์ผู้เป็นลูกจ้าง เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยรวม 31 รายการ เพื่อบังคับคดีนำเงินชำระหนี้ตามคำพิพากษา หลังจากนั้นวันที่ 25 มิถุนายน2530 ศาลแพ่งมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาด วันที่ 29มิถุนายน 2530 เจ้าพนักงานบังคับคดีโดยคำสั่งอนุญาตของศาลจังหวัดสมุทปราการ ผู้ดำเนินการบังคับคดีแทนศาลแรงงานกลางได้ขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึดให้แก่ผู้ซื้อ วันที่ 2 กรกฏาคม 2530จำเลยยื่นคำร้องว่า การขายทอดตลาดมีพฤติการณ์ส่อไปทางไม่สุจริตทำให้ขายได้ราคาต่ำ ขอให้ส่งสำนวนไปศาลฎีกาเพื่อให้ศาลแรงงานกลางขายทอดตลาดใหม่
วันนัดไต่สวนคำร้องของจำเลย ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งยกคำร้องของจำเลยโดยวินิจฉัยว่า การขายทอดตลาดกระทำไปภายหลังจากที่จำเลยถูกศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด และขณะจำเลยยื่นคำร้องคัดค้านการขายทอดตลาด เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัยพ์เท่านั้นที่จะเข้ามาดำเนินการต่อไปได้ จำเลยไม่มีอำนาจเข้ามายื่นคำร้องคัดค้านการขายทอดตลาด
จำเลยอุทธรณ์คำสั่งต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “จำเลยอุทธรณ์เป็นข้อแรกว่าพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 มาตรา 22(3) ใช้บังคับแก่คดีที่ค้างพิจารณาเท่านั้น หาใช้บังคับแก่คดีในชั้นบังคับคดีไม่คดีนี้ ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยแพ้คดีก่อนแล้ว ต่อมาจำเลยจึงถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด คดีล่วงมาจนถึงชั้นบังคับคดีแล้วเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัยพ์หามีอำนาจดำเนินคดีแทนจำเลยไม่ พิเคราะห์แล้ว พระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 มาตรา 22 บัญญัติว่า
“เมื่อศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้แล้วเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัยพ์แต่ผู้เดียวมีอำนาจดังต่อไปนี้
(1) จัดการและจำหน่ายทรัพย์สินของลูกหนี้ หรือกระทำการที่จำเป็น เพื่อให้กิจการของลูกหนี้ที่ค้างอยู่เสร็จสิ้นไป
(2) เก็บรวบรวมและรับเงิน หรือทรัพย์สินที่จะตกได้แก่ลูกหนี้หรือซึ่งลูกหนี้มีสิทธิจะได้รับจากผู้อื่น
(3) ประนีประนอมยอมความ หรือฟ้องร้อง หรือต่อสู้คดีใด ๆเกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้”
ศาลฎีกาเห็นว่า บทมาตราดังกล่าวบัญญัติไว้แจ้งชัดว่า เมื่อลูกหนี้ถูกพิทักษ์ทรัพย์แล้ว ลูกหนี้หามีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาเกี่ยวกับทรัพย์สินไม่ ไม่ว่าในชั้นพิจารณาหรือชั้นบังคับคดีเพราะกฎหมายบัญญัติให้เป็นอำนาจของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์”แต่ผู้เดียว” ไม่ว่าลูกหนี้จะเป็นโจทก์มีสิทธิได้รับชำระหนี้จากคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิขับไล่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งจากห้องพิพาทหรือแม้ลูกหนี้จะขอทุเลาการบังคับในคดีที่ตนถูกฟ้อง หรือแม้แต่กรณีนี้อำนาจในการดำเนินคดีย่อมตกแก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตามมาตรา 22 ทั้งสิ้น อุทธรณ์ข้อแรกของจำเลยฟังไม่ขึ้น
จำเลยอุทธรณ์เป็นข้อที่สองว่า ในวันที่ศาลมีคำสั่งยกคำร้องของจำเลยนั้น เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ก็มาศาลด้วย หากจำเลยไม่มีอำนาจดำเนินคดีตามวินิจฉัยของศาลแรงงานกลาง ศาลแรงงานกลางก็ชอบที่จะสอบถามเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ก่อนว่าประสงค์จะดำเนินคดีต่อไปหรือไม่ ที่สั่งยกคำร้องของจำเลยโดยไม่สอบถามเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ก่อนหาชอบไม่ ข้อนี้ เห็นว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เป็นผู้มีอำนาจดำเนินคดีแทนจำเลย ตกเป็นฝ่ายจำเลยย่อมมีอำนาจจะคุ้มครองป้องกันสิทธิของจำเลยทุกอย่างทุกประการ ศาลพึงดำรงตนอยู่ท่ามกลางคู่ความหามีหน้าที่จะคุ้มครองป้องกันสิทธิอันเกี่ยวด้วยทรัพย์สินของคู่ความฝ่ายใดไม่ ซึ่งจำเลยจะกะเกณฑ์ให้ศาลมีหน้าที่ตามที่จำเลยอุทธรณ์นั้นหาชอบไม่ ทั้งไม่มีกฎหมายใดสนับสนุนให้ศาลมีหน้าที่เช่นว่านั้นอุทธรณ์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นอีกเช่นกัน…”
พิพากษายืน.

Share