แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2534 มาตรา 83 ให้แต่งตั้งที่ปรึกษากฎหมายให้จำเลยในศาลที่มีอำนาจพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว ไม่ว่าความผิดที่จำเลยถูกฟ้องนั้นมีอัตราโทษประหารชีวิตหรือไม่ก็ตาม เว้นแต่จำเลยไม่ต้องการที่ปรึกษากฎหมายและศาลเห็นว่าที่ปรึกษากฎหมายไม่จำเป็นแก่คดี บทกฎหมายดังกล่าวถือได้ว่าเป็นกฎหมายเฉพาะย่อมยกเว้นประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 173 อันเป็นกฎหมายทั่วไป และไม่อาจนำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ดังกล่าวซึ่งขัดหรือแย้งต่อพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2534 มาใช้ได้
จำเลยอายุเกินสิบแปดปีบริบูรณ์แล้วขณะที่โจทก์ยื่นฟ้อง แต่ขณะกระทำความผิดต่อประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 จำเลยมีอายุไม่ถึงสิบแปดปีบริบูรณ์ จึงต้องดำเนินคดีในศาลที่มีอำนาจพิจารณาคดีเยาวชน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2534 มาตรา 5 การแต่งตั้งที่ปรึกษากฎหมายให้จำเลยจึงต้องปฏิบัติตามมาตรา 83 การที่ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง จดรายงานกระบวนพิจารณาว่า จำเลยให้การรับสารภาพ และไม่ต้องการที่ปรึกษากฎหมายจำเลย ศาลเห็นว่าไม่จำเป็นต้องตั้งที่ปรึกษากฎหมายจำเลย จึงให้นัดสืบพยานประกอบคำรับสารภาพ เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ชอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2534 มาตรา 83 แล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2529 เวลาประมาณ 18 นาฬิกา จำเลยกับพวกอีก 1 คน ที่หลบหนียังไม่ได้ตัวมาฟ้อง (ขณะเกิดเหตุจำเลยเป็นเยาวชนอายุ 17 ปีเศษ) ได้ร่วมกันชิงทรัพย์เอาสร้อยคอทองคำหนัก 1 บาท จำนวน 1 เส้น ราคา 4,000บาท เหรียญเสมารูปรัชกาลที่ 5 จำนวน 1 เหรียญ ราคา 1,500 บาท สร้อยข้อมือทองคำหนัก 2 สลึง จำนวน 1 เส้น ราคา 2,000 บาท แหวนทองคำหัวนิลล้อมเพชร จำนวน 1 วงราคา 2,500 บาท ของนางอนงค์ ยิ้มชาญกาญจน์ ผู้เสียหาย และเอานาฬิกาข้อมือจำนวน 1 เรือน ราคา 1,000 บาท ของนายชลอ ภู่พัฒน์ ผู้เสียหายซึ่งเป็นนายจ้างของจำเลยไปโดยทุจริต ในการชิงทรัพย์จำเลยกับพวกมีเจตนาฆ่านางอนงค์และนายชลอให้ถึงแก่ความตาย โดยจำเลยกับพวกร่วมกันใช้กำลังประทุษร้ายด้วยการใช้ไม้ท่อนเหลี่ยมขนาดกว้าง 4 นิ้ว หนา 2 นิ้ว ยาว 3 ฟุต และ 3 ฟุตเศษ จำนวน 2 ท่อน เป็นอาวุธตีที่ศีรษะ ใบหน้า และลำตัวของนางอนงค์และนายชลอหลายครั้ง จนเป็นเหตุให้นางอนงค์และนายชลอถึงแก่ความตายสมดังเจตนาของจำเลยกับพวก การกระทำของจำเลยกับพวกก็เพื่อสะดวกแก่การชิงทรัพย์ เพื่อยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้ เพื่อพาเอาทรัพย์ไป เพื่อจะเอาไว้ซึ่งผลประโยชน์อันเกิดแก่การที่ตนได้กระทำความผิดฐานลักทรัพย์ เพื่อปกปิดความผิด และเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาที่ได้กระทำไป เหตุเกิดที่แขวงบางอ้อ เขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 289, 339 และให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์จำนวน 10,000 บาท แก่ทายาทของนางอนงค์ ยิ้มชาญกาญจน์ ผู้ตายและจำนวน 1,000 บาท แก่ทายาทของนายชลอ ภู่พัฒน์ ผู้ตาย ด้วย
จำเลยให้การรับสารภาพ และแถลงไม่ต้องการที่ปรึกษากฎหมาย
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289,339 วรรคท้าย, 83 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดขณะกระทำความผิดจำเลยอายุ 17 ปีเศษ ลดมาตรส่วนโทษให้จำเลยกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 ประกอบด้วยมาตรา 52(2) ลงโทษจำคุก 30 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกมีกำหนด 15 ปี ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์จำนวน 10,000 บาท แก่ทายาทของนางอนงค์ ยิ้มชาญกาญจน์ ผู้ตาย และจำนวน1,000 บาท แก่ทายาทนายชลอ ภู่พัฒน์ ผู้ตาย ด้วย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่โดยให้ตั้งที่ปรึกษากฎหมายให้จำเลยก่อนทำการสืบพยานโจทก์จำเลย แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การที่ศาลชั้นต้นไม่แต่งตั้งที่ปรึกษากฎหมายให้จำเลยนั้น เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ชอบหรือไม่ ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า คดีนี้แม้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 อันเป็นคดีที่มีอัตราโทษประหารชีวิต ซึ่งศาลชั้นต้นต้องถามจำเลยก่อนเริ่มพิจารณาว่า จำเลยมีทนายหรือไม่ ถ้าไม่มีก็ให้ศาลตั้งทนายให้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 173 วรรคแรก ก็ตาม แต่กฎหมายดังกล่าวบัญญัติไว้สำหรับการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีอาญาที่ได้กระทำในศาลที่มีอำนาจพิจารณาคดีธรรมดา ส่วนในศาลที่มีอำนาจพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัวตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2534 มาตรา 6 บัญญัติให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาใช้บังคับแก่คดีเยาวชนและครอบครัวเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับบทแห่งพระราชบัญญัตินี้ เมื่อตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว ได้มีบทบัญญัติในเรื่องดังกล่าวไว้โดยเฉพาะตามมาตรา 83 ว่า “ในศาลที่มีอำนาจพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว จำเลยจะมีทนายความแก้คดีแทนไม่ได้ แต่ให้จำเลยมีที่ปรึกษากฎหมายเพื่อปฏิบัติหน้าที่ทำนองเดียวกันกับทนายความได้ ในกรณีที่จำเลยไม่มีที่ปรึกษากฎหมาย ให้ศาลแต่งตั้งที่ปรึกษากฎหมายให้ เว้นแต่จำเลยนั้นไม่ต้องการและศาลเห็นว่าไม่จำเป็นแก่คดี จะไม่แต่งตั้งที่ปรึกษากฎหมายก็ได้” ดังนั้น การแต่งตั้งที่ปรึกษากฎหมายในศาลที่มีอำนาจพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว ไม่ว่าความผิดที่จำเลยถูกฟ้องนั้นมีอัตราโทษประหารชีวิตหรือไม่ก็ตาม ให้ศาลแต่งตั้งที่ปรึกษากฎหมายให้จำเลย เว้นแต่จำเลยไม่ต้องการที่ปรึกษากฎหมายและศาลเห็นว่าที่ปรึกษากฎหมายไม่จำเป็นแก่คดีเมื่อเข้าข้อยกเว้นทั้งสองประการนี้แล้ว ศาลจะไม่แต่งตั้งที่ปรึกษากฎหมายให้จำเลยก็ได้บทกฎหมายดังกล่าวถือได้ว่าเป็นกฎหมายเฉพาะย่อมยกเว้นประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 173 อันเป็นกฎหมายทั่วไป และไม่อาจนำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ดังกล่าว ซึ่งขัดหรือแย้งต่อพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2534มาใช้ในกรณีนี้ได้ เหตุนี้เมื่อจำเลยซึ่งอายุเกินสิบแปดปีบริบูรณ์แล้วขณะที่โจทก์ยื่นฟ้องแต่เนื่องจากขณะกระทำความผิดจำเลยมีอายุไม่ถึงสิบแปดปีบริบูรณ์จึงต้องดำเนินคดีในศาลที่มีอำนาจพิจารณาคดีเยาวชน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2534 มาตรา 5 การแต่งตั้งที่ปรึกษากฎหมายให้จำเลย ก็ต้องปฏิบัติตามมาตรา 83 อันเป็นบทเฉพาะ หาใช่ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 173 อันเป็นบททั่วไปไม่ การที่ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง ซึ่งเป็นศาลที่มีอำนาจพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัวจดรายงานกระบวนพิจารณาในวันที่ 22 พฤษภาคม 2541 ว่า “นัดสอบถามวันนี้อ่านและอธิบายคำฟ้องให้จำเลยฟังแล้ว จำเลยให้การรับสารภาพในข้อหาตามฟ้อง และไม่ต้องการที่ปรึกษากฎหมายจำเลย ศาลเห็นว่าไม่จำเป็นต้องตั้งที่ปรึกษากฎหมายจำเลย จึงให้นัดสืบพยานประกอบคำรับสารภาพในวันที่ …” เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ชอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2534 มาตรา 83 ครบถ้วนทุกประการ ที่ศาลอุทธรณ์ให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยเห็นว่าการดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลชั้นต้นไม่ชอบนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัว ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาคดีใหม่ แล้วพิพากษาตามรูปคดี