คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1770/2545

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่จะนำโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนมาบวกเข้ากับโทษจำคุกของจำเลยที่ศาลพิพากษาในคดีหลังตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58 นั้น ไม่ว่าจะเป็นกรณีที่ความปรากฏแก่ศาลเองหรือความปรากฏตามคำแถลงของโจทก์หรือเจ้าพนักงานก็ตาม จะต้องปรากฏข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า จำเลยยอมรับหรือไม่คัดค้านในข้อที่เคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีก่อนให้ลงโทษจำคุกและโทษจำคุกนั้นศาลให้รอการลงโทษไว้เสียก่อน ศาลจึงจะนำโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนมาบวกเข้ากับโทษจำคุกในคดีหลังได้ เมื่อจำเลยที่ 1 ให้การว่าขอให้การรับสารภาพตามฟ้องทุกประการ อันเป็นเพียงการยอมรับว่ากระทำความผิดตามคำฟ้องเท่านั้นมิได้เป็นการยอมรับว่าเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีก่อนที่โจทก์อ้างมาในคำฟ้อง ทั้งโจทก์ไม่สืบพยานให้ปรากฏความในเรื่องนี้ จึงไม่อาจฟังเป็นยุติว่าจำเลยที่ 1 เคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุกและโทษจำคุกนั้นศาลรอการลงโทษไว้ ที่ศาลล่างทั้งสองนำโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้มาบวกเข้ากับโทษของจำเลยที่ 1 ในคดีนี้จึงไม่ถูกต้อง ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขได้เองแม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันเสพเมทแอมเฟตามีนซึ่งเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 และมีเมทแอมเฟตามีนจำนวน313 เม็ด คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 10.031 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย อันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย เหตุเกิดที่ตำบลสมสนุกอำเภอปากคาด จังหวัดหนองคาย เจ้าพนักงานจับจำเลยทั้งสองพร้อมยึดเมทแอมเฟตามีนที่จำเลยทั้งสองมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายดังกล่าว กระเป๋าเสื้อผ้า 1 ใบ ผ้าอนามัย 1 ชิ้น ที่จำเลยทั้งสองใช้ซุกซ่อนเมทแอมเฟตามีนกับสมุดบันทึก 1 เล่ม ที่จำเลยทั้งสองจดบันทึกชื่อลูกค้าที่ติดต่อซื้อเมทแอมเฟตามีนเป็นของกลางจำเลยที่ 1 เคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุก 9 เดือนและปรับ 5,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปีตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 875/2542 ของศาลจังหวัดหนองคายภายในเวลาที่ศาลรอการลงโทษดังกล่าว จำเลยที่ 1 มากระทำความผิดในคดีนี้อีก ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522มาตรา 4, 7, 8, 15, 57, 66, 67, 91, 102 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 58, 83, 91 ริบของกลาง และนำโทษจำคุกของจำเลยที่ 1ที่ศาลรอการลงโทษไว้ในคดีดังกล่าวมาบวกเข้ากับโทษในคดีนี้

จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ

จำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์แยกฟ้องจำเลยที่ 2 เป็นคดีใหม่ และให้จำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่ 2 ออกเสียจากสารบบความ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 57, 66 วรรคหนึ่ง, 91การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานเสพเมทแอมเฟตามีนจำคุก 1 ปี ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจำคุก16 ปี รวมโทษจำคุก 17 ปี จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา อันเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 8 ปี 6 เดือน และให้นำโทษจำคุก 9 เดือน ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 875/2542 ของศาลจังหวัดหนองคาย มาบวกเข้ากับโทษในคดีนี้ รวมเป็นจำคุก 8 ปี 15 เดือนริบของกลาง

จำเลยที่ 1 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายให้จำคุก 12 ปี เมื่อรวมกับโทษในความผิดฐานอื่นแล้วรวมเป็นจำคุก 13 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุก 6 ปี 6 เดือนและนำโทษจำคุก 9 เดือน ที่ศาลจังหวัดหนองคายรอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 875/2542 มาบวกเข้ากับโทษในคดีนี้รวมเป็นจำคุก 6 ปี 15 เดือน นอกจากที่แก้ให้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยที่ 1 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาขอให้ลงโทษข้อหาความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายในสถานเบานั้นเห็นว่า จำเลยที่ 1 มีเมทแอมเฟตามีนซึ่งเป็นยาเสพติดให้โทษชนิดร้ายแรงในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายถึง 313 เม็ด คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 10.031 กรัม ซึ่งถือได้ว่าเป็นจำนวนมาก ทั้งความผิดดังกล่าวทำให้เกิดปัญหาความปลอดภัยและความสงบสุขต่อสังคมในปัจจุบัน เพราะผู้ที่ซื้อเมทแอมเฟตามีนไปเสพนอกจากจะเกิดอันตรายแก่ตนเองแล้ว ยังอาจเป็นอันตรายแก่บุคคลที่อยู่ข้างเคียงเมื่อผู้เสพมีอาการเมาเมทแอมเฟตามีนได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 ใช้ดุลพินิจวางโทษจำเลยที่ 1 ในข้อหาความผิดฐานนี้จำคุก 12 ปี และลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุก 6 ปี นั้น นับว่าเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดีและเป็นคุณแก่จำเลยที่ 1 แล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น

อนึ่ง การที่จะนำโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนมาบวกเข้ากับโทษจำคุกของจำเลยที่ศาลพิพากษาในคดีหลังตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58 ได้นั้น ไม่ว่าจะเป็นกรณีที่ความปรากฏแก่ศาลเองหรือความปรากฏตามคำแถลงของโจทก์หรือเจ้าพนักงานก็ตามจะต้องปรากฏข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า จำเลยยอมรับหรือไม่ คัดค้านในข้อที่ว่าเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีก่อนให้ลงโทษจำคุกและโทษจำคุกนั้น ศาลรอการลงโทษไว้เสียก่อนศาลจึงจะนำโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนมาบวกเข้ากับโทษจำคุกในคดีหลังได้ คดีนี้จำเลยที่ 1 ให้การว่าขอให้การรับสารภาพตามฟ้องทุกประการ ซึ่งคงเป็นแต่เพียงยอมรับว่ากระทำความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีนและมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายตามคำฟ้องเท่านั้น มิได้เป็นการยอมรับว่าเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีก่อนที่โจทก์อ้างมาในคำฟ้อง ทั้งโจทก์ไม่สืบพยานให้ปรากฏความในเรื่องนี้ ข้อเท็จจริงจึงไม่อาจรับฟังเป็นยุติว่าจำเลยที่ 1 เคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 875/2542 ของศาลจังหวัดหนองคายให้ลงโทษจำคุกและโทษจำคุกนั้นศาลให้รอการลงโทษไว้ การที่ศาลล่างทั้งสองนำโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 875/2542 ของศาลจังหวัดหนองคายมาบวกเข้ากับโทษของจำเลยที่ 1 ในคดีนี้จึงไม่ถูกต้อง ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขได้เองแม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา”

พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่นำโทษจำคุกในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 875/2542 ของศาลจังหวัดหนองคายมาบวกเข้ากับโทษของจำเลยที่ 1 ในคดีนี้ คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 6 ปี 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4

Share