คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 369/2501

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

กรณีที่เป็นการวินิจฉัยนอกคำพยานหลักฐานในสำนวนเมื่อข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาเป็นการวินิจฉัยนอกคำพยานหลักฐานในสำนวนศาลฎีกาย่อมไม่จำต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยนอกสำนวนนั้น

ย่อยาว

คดีนี้โจทย์ฟ้องมีใจความว่าระหว่างวันที่ ๒๐ เม.ย.๒๔๙๙ ถึงวันที่ ๒ พ.ค.๒๔๙๙ จำเลยสมคบกันทำหนังสือปลอมขึ้นฉบับหนึ่งมีใจความสำคัญว่า นายแห สีสวย(ผู้วายชนม์) ได้มอบให้จำเลยที่ ๓ จัดการเรื่องทรัพย์สมบัติ คือ ปืน บ้านและที่ดิน นายแหยกให้ ด.ช.ฤาชัย สีสวย บุตรแต่ผู้เดียว ซึ่งเป็นหนังสือสำคัญหรือหนังสือพินัยกรรมปลอมแล้วจำเลยสมคบกันนำหนังสือฉบับลงวันที่ ๒๐ เม.ย. ๒๔๙๙ ไปแจ้งต่อนายอำเภอพนมสารคาม เพื่อขอรับมรดกของนายแห
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้อง เห็นว่าคดีของโจทก์ไม่มีมูลทางอาญา โดยตามคำพยานหลักฐานไม่ปรากฎว่าจำเลยทั้ง ๕ คนได้ปลอมพินัยกรรม เมื่อฟังไม่ได้ว่าพินัยกรรมจะจริงหรือปลอม ในเรื่องใช้หนังสือปลอมก็ฟังไม่ได้ รวมทั้งแจ้งความเท็จ ก็ยังไม่แน่นอนว่าเท็จอย่างไร
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โดยยกเหตุหลายประการมีความสำคัญว่า ไม่มีพยานเห็นว่าจำเลยคนใดเป็นผู้ทำหนังสือปลอม เขียนหนังสือกันที่ไหน วันเวลาใด ใครเป็นผู้เขียน ฯลฯ โจทก์สืบไม่ได้ว่าจำเลยสมคบกันทำหนังสือฉบับพิพาทปลอมขึ้น กลับฟังได้ว่าลายเซ็นในหนังสือฉบับพิพาท(หนังสือลงวันที่ ๒๐ เม.ย.๒๔๙๙) เป็นลายเซ็นอันแท้จริงของนายแหผู้วายชนม์ ข้อหาฐานปลอมหนังสือของโจทก์เป็นอันตกไป เมื่อฟังว่าจำเลยไม่ได้สมคบกันปลอมหนังสือฉบับที่พิพาท ข้อหาฐานใช้หนังสือปลอมก็ฟังไม่ขึ้น ข้อหาฐานแจ้งความเท็จก็เช่นเดียวกัน ฯลฯ
โจทก์ฎีกาทั้งปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย
ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาเฉพาะข้อกฎหมายที่ว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคดีนอกสำนวนและพยานหลักฐานหรือไม่ ในข้อที่ศาลอุทธรณ์กล่าวว่า “กลับฟังได้ว่าลายเซ็นในหนังสือฉบับพิพาท(หนังสือลงวันที่ ๒๐ เม.ย.๒๔๙๙) เป็นลายเซ็นอันแท้จริงของนายแหผู้วายชนม์ ข้อหาฐานปลอมหนังสือของโจทก์เป็นอันตกไป” โจทก์ได้อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับฎีกาต่อศาลฎีกา ศาลฎีกาสั่งยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งโดยเห็นด้วยกับศาลชั้นต้นที่ไม่รับฎีกาปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาเห็นว่าตามคำพยานหลักฐานในสำนวนไม่มีเลยว่าลายเซ็นนายแหในหนังสือฉบับลงวันที่ ๒๐ เม.ย.๒๔๙๙ เป็นลายเซ็นอันแท้จริงของนายแหผู้วายชนม์ มีคำนายเซี้ยมพยานโจทก์ให้การไว้ตอนหนึ่งว่า “เวลาบ่าย ๒ โมงนายดำริปลัดอำเภอกับผู้ใหญ่ทอนมาด้วยกัน อาการนายแหทรุดทรงสติไม่เหมือนคนปกติ นายดำริถามว่าให้การได้ไหม ข้าฯว่าให้การไม่ได้ เขาเรียกนางส้มเข้าให้ให้การแทน เขาบันทึกให้นายแหเซ็น นายแหเซ็นไม่ได้ ข้าฯจับมือนายแหเซ็นสองแผ่นมีหนังสือแผ่นหนึ่งไม่มีหนังสือแผ่นหนึ่ง เขาว่านางส้มเข้าไม่ได้ถูกแทงจึงไม่ให้เซ็น ตอนนี้นายแหพูดไม่ได้”
คำนายเซี๊ยมนี้ก็มิได้หมายถึงว่านายเซี้ยมจับมือนายแหเซ็นในหนังสือฉบับลงวันที่ ๒๐ เม.ย.๒๔๙๙ ทั้งในตอนท้ายคำให้การนายเซี้ยมก็ยังให้การไว้ว่า นายแหพูดไม่ได้เลยตั้งแต่ข้าฯไปจนกลับ ไม่ได้สั่งอะไร ไม่เห็นทำพินัยกรรม
ดังนี้ จึงเห็นว่าที่ศาลอุทธรณ์ว่า ลายเซ็นนายแหในหนังสือฉบับลงวันที่ ๒๐ เม.ย. ๒๔๙๙ เป็นลายเซ็นนายแหอันแท้จริง อันเป็นเหตุให้วินิจฉัยว่าจำเลยมิได้ปลอมหนังสือฉบับลงวันที่ ๒๐ เม.ย.๒๔๙๙ นั้นเป็นการวินิจฉัยนอกคำพยานหลักฐานในสำนวน ฉะนั้นศาลฎีกาจึงไม่จำเป็นต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมา
และเห็นว่าตามคำพยานหลักฐานที่โจทก์นำมาไต่สวนพอฟังว่าคดีของโจทก์มีมูล
พิพากษากลับศาลอุทธรณ์โดยให้ศาลชั้นต้นรับฟ้องโจทก์ไว้พิจารณา

Share