คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1317/2512

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่หญิงมีสามีได้กระทำกิจการค้าด้วยความรู้เห็นของสามีนั้น. ย่อมถือได้ว่าสามีได้อนุญาตแล้วโดยปริยาย. ฉะนั้นหญิงมีสามี. จึงฟ้องคดีในฐานะเป็นผู้จัดการห้างหุ้นส่วนได้. หาจำต้องได้รับอนุญาตจากสามีอีกไม่.

ย่อยาว

คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล นางนิพันธ์พานิชสมบัติ ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการเป็นผู้มีอำนาจทำการใด ๆ แทนห้างได้โดยเซ็นชื่อและประทับตราสำคัญของห้าง โจทก์มีอาชีพขายทรายและหินต่าง ๆ จำเลยทั้งสองได้ติดต่อค้าขายกับโจทก์ โดยจำเลยที่ 1เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 2 ได้ซื้อหินและทรายไปจากโจทก์หลายคราวแล้วไม่ชำระเงิน โจทก์ได้ทวงถามแล้ว แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉยจึงฟ้องขอให้ใช้เงินที่ค้างชำระพร้อมด้วยดอกเบี้ย จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา จำเลยที่ 2 ให้การว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง โดยโจทก์เป็นหญิงมีสามีและไม่ได้รับอนุญาตจากสามีให้ฟ้อง จำเลยปฏิเสธความรับผิดทั้งสิ้น โดยอ้างว่า จำเลยที่ 1 ไม่ใช่ตัวแทนและไม่ใช่ลูกจ้างของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ไม่เคยติดต่อซื้อทรายหรือหินจากโจทก์ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า นางนิพันธ์มีอำนาจฟ้องคดีได้ และจำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 2 พิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 1 และให้จำเลยที่ 2 ชำระหนี้ที่ค้างพร้อมด้วยดอกเบี้ย จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยที่ 2 ฎีกา มีประเด็นข้อกฎหมายว่านางนิพันธ์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ สำหรับประเด็นข้อนี้ ศาลฎีกาเห็นว่านางนิพันธ์ได้ฟ้องคดีนี้ในฐานะเป็นผู้จัดการห้างหุ้นส่วนโจทก์ แม้คดีจะฟังว่านางนิพันธ์เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ ซึ่งได้จดทะเบียนไว้หลายปีแล้ว เมื่อจำเลยไม่มีพยานมาสืบให้เห็นเป็นอย่างอื่น ทั้งไม่ปรากฏว่ามีผู้ใดทักท้วงคัดค้านแต่ประการใดตลอดเวลามาเช่นนี้ คดีฟังได้ว่านางนิพันธ์ได้ทำกิจการค้าขายเช่นนั้นด้วยความรู้เห็นของสามีจึงถือว่าสามีได้อนุญาตแล้วโดยปริยาย นางนิพันธ์ย่อมทำนิติกรรมและอรรถคดีภายในขอบอำนาจแห่งกิจการนั้นได้ หาจำต้องมีอนุญาตของสามีอีกไม่ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 41 พิพากษายืน.

Share