แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
++ เรื่อง ฉ้อโกง
++ โปรดดูย่อจากหนังสือคำพิพากษาศาลฎีกา สำนักงานศาลยุติธรรม
++ เล่มที่ 8 หน้า 143 ++
++ ขอดูชุดพิเศษโปรดติดต่อห้องบริการเอกสารสำเนาคำพิพากษา (ห้องสมุด) ชั้น 4, 5 ++
ย่อยาว
เรื่อง ฉ้อโกง
จำเลยทั้งสอง ฎีกาคัดค้าน คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ลงวันที่ ๓ เดือน กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๑
ศาลฎีกา รับวันที่ ๕ เดือน มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๒
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๓๗เวลากลางวัน ถึงวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๓๘ เวลากลางวันและเวลากลางคืนต่อเนื่องกัน จำเลยทั้งสองกับพวกอีก ๑ คน ซึ่งยังไม่ได้ตัวมาฟ้องร่วมกันหลอกลวงสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ร่วมกตัญญูผู้มีพระคุณ จังหวัดกาฬสินธุ์ผู้เสียหาย ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จและปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งแก่ผู้เสียหายว่า พวกของจำเลยทั้งสองซึ่งหลบหนีคือนายบุญจันทร์ โชติรื่น เป็นผู้มีสุขภาพแข็งแรง มีความประสงค์สมัครเข้าเป็นสมาชิกของผู้เสียหาย หากพวกของจำเลยทั้งสองดังกล่าวถึงแก่ความตายให้จำเลยที่ ๑ เป็นผู้รับผลประโยชน์จากผู้เสียหาย ความจริงแล้วพวกของจำเลยทั้งสองดังกล่าวมิใช่นายบุญจันทร์ โชติรื่น จำเลยทั้งสองกับพวกทราบอยู่แล้วว่า นายบุญจันทร์กำลังป่วยหนักด้วยโรงมะเร็งในลำไส้ ซึ่งต่อมาวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๓๘ นายบุญจันทร์ถึงแก่ความตาย ด้วยการหลอกลวงของจำเลยทั้งสองดังกล่าวเป็นเหตุให้ผู้เสียหายหลงเชื่อ จึงรับพวกของจำเลยทั้งสองดังกล่าวเป็นสมาชิก และได้จ่ายเงินค่าสงเคราะห์ของผู้เสียหายให้แก่จำเลยทั้งสองกับพวกจำนวน ๙๒,๐๐๐ บาท เหตุเกิดที่ตำบลกาฬสินธุ์ อำเภอเมืองกาฬสินธุ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ จำเลยที่ ๒ เป็นบุคคลเดียวกันกับจำเลยที่ ๓ ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ ๒๑๒๔/๒๕๓๘ของศาลชั้นต้น ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๑, ๘๓ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนเงินจำนวน ๙๒,๐๐๐ บาท แก่ผู้เสียหาย และนับโทษจำเลยที่ ๒ ต่อจากโทษของจำเลยที่ ๓ ในคดีอาญาหมายเลขดำที่๒๑๒๔/๒๕๓๘ ของศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ร่วมกตัญญูผู้มีพระคุณ จังหวัดกาฬสินธุ์ ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ โดยอัยการพิเศษประจำเขต ๔ ซึ่งได้รับมอบหมายจากอัยการสูงสุด ลงลายมือชื่อรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษากลับเป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๑, ๘๓ จำคุกคนละ ๑ ปีให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนเงิน ๙๒,๐๐๐ บาท แก่โจทก์ร่วม ส่วนคำขอที่ให้นับโทษจำเลยที่ ๒ ต่อจากคดีอื่นนั้น โจทก์ไม่นำสืบว่าผลคดีเป็นอย่างไรจึงยกคำขอในส่วนนี้
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า โจทก์ร่วมจดทะเบียนเป็นสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ มีวัตถุประสงค์ช่วยเหลือและสงเคราะห์ครอบครัวและทายาทของสมาชิกที่ถึงแก่ความตายด้วยเงินสงเคราะห์ เมื่อวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๓๗ จำเลยที่ ๑ นำชายคนหนึ่งมาสมัครเป็นสมาชิกของโจทก์ร่วม แจ้งแก่โจทก์ร่วมว่าคือนายบุญจันทร์โชติรื่น บิดาจำเลยที่ ๑ ระบุให้จำเลยที่ ๑ เป็นผู้รับเงินสงเคราะห์ โจทก์ร่วมรับนายบุญจันทร์เป็นสมาชิก นายบุญจันทร์ถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ ๗ มีนาคม๒๕๓๘ ต่อมาวันที่ ๒๗ เดือนเดียวกัน จำเลยที่ ๑ มารับเงินสงเคราะห์จากโจทก์ร่วมไปจำนวน ๙๒,๐๐๐ บาท ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยมีว่า จำเลยทั้งสองกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า ข้อเท็จจริงตามที่โจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบมาได้ความเพียงว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันนำนายธง พิมพ์นิวาส มาสมัครเป็นสมาชิกของโจทก์ร่วม โดยแจ้งแก่นายที ภูยาดาว กรรมการของโจทก์ร่วมว่านายธงคือนายบุญจันทร์ โชติรื่น บิดาจำเลยที่ ๑ เป็นผู้มีสุขภาพแข็งแรงเป็นเหตุให้โจทก์ร่วมหลงเชื่อจึงรับนายบุญจันทร์เป็นสมาชิก ความจริงแล้วขณะนั้นนายบุญจันทร์ป่วยเป็นโรคมะเร็งในลำไส้ ไม่สามารถเดินไปไหนมาไหนได้ การหลอกลวงของจำเลยทั้งสองดังกล่าวจึงมีผลเพียงให้โจทก์ร่วมรับนายบุญจันทร์เข้าเป็นสมาชิกเท่านั้น หาได้ทำให้จำเลยทั้งสองได้ทรัพย์สินไปจากโจทก์ร่วมแต่ประการใดไม่ แม้ต่อมาโจทก์ร่วมจะจ่ายเงินสงเคราะห์ให้จำเลยที่ ๑ ไปจำนวน ๙๒,๐๐๐ บาท แต่ก็เนื่องจากนายบุญจันทร์ถึงแก่กรรมหาใช่เนื่องจากจำเลยทั้งสองหลวกลวงไม่ การกระทำของจำเลยทั้งสองไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง และพนักงานอัยการโจทก์ย่อมไม่มีสิทธิเรียกทรัพย์สินหรือราคาแทนโจทก์ร่วมได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา๔๓ คำขอส่วนแพ่งของโจทก์ร่วมที่ขอถือเอาตามฟ้องของพนักงานอัยการโจทก์ย่อมตกไปด้วย จึงไม่อาจสั่งให้จำเลยทั้งสองคืนเงินจำนวน ๙๒,๐๐๐ บาทแก่โจทก์ร่วมได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังขึ้น
พิพากษากลับให้ยกฟ้องและยกคำขอทั้งหมด.