แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ตามคำร้องขอเข้าเป็นจำเลยร่วมของจำเลยร่วมอ้างว่าจำเลยและท.มารดาของจำเลยร่วมได้ร่วมกันซื้อที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างจากจ. มาตั้งแต่ปี2490แต่มิได้จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมหลังจากทำสัญญาซื้อขายแล้วจ.ได้ส่งมอบที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่จำเลยและท. จำเลยและท.ได้ครอบครองใช้ทำประโยชน์ตลอดมาจนได้กรรมสิทธิ์แล้วโดยการครอบครองปรปักษ์ต่อมาท. ถึงแก่ความตายจำเลยร่วมผู้เป็นบุตรของท. จึงได้ครอบครองต่อซึ่งมีลักษณะเป็นเจ้าของร่วมมีฐานะเดียวกันกับจำเลยและในตอนท้ายของคำร้องก็ขอเข้าเป็นจำเลยร่วมจึงเป็นการร้องขอเข้าเป็นจำเลยร่วมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา57(2)ไม่ใช่เป็นการเข้ามาในฐานะที่เป็นคู่ความฝ่ายที่สามตามมาตรา57(1)เมื่อขอเข้ามาตามมาตรา57(2)จึงต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิอย่างอื่นนอกจากสิทธิที่มีอยู่แก่จำเลยซึ่งเป็นคู่ความฝ่ายที่ตนเข้าร่วมเมื่อจำเลยให้การโดยมิได้ฟ้องแย้งจำเลยร่วมจึงไม่อาจใช้สิทธิฟ้องแย้งโจทก์ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 ที่ 2 เป็นผู้จัดการมรดกของนายจรูญ สีบุญเรือง ตามคำสั่งศาล นายจรูญกับโจทก์ที่ 3ถึงที่ 8 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกันในที่ดินโฉนดเลขที่ 8471 และสิ่งปลูกสร้างเลขที่ 4351 โดยซื้อมาจากผู้มีชื่อเมื่อปี 2487 แล้วให้จำเลยเป็นผู้ดูแลปลูกบ้านขึ้นอีก 1 หลัง ใช้อยู่อาศัยตลอดมาเมื่อต้นปี 2533 ร้อยตรีประจักษ์ สีบุญเรือง ผู้จัดการมรดกคนก่อนของนายจรูญกับโจทก์ที่ 3 ถึงที่ 8 ได้ให้จำเลยทำหลักฐานการขออาศัยในที่ดินดังกล่าวไว้ จำเลยบ่ายเบี่ยงเรื่อยมาในที่สุดได้กล่าวอ้างว่านายจรูญขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้แก่ตนแล้วซึ่งเป็นความเท็จ โจทก์ได้มอบให้ทนายความมีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยและบริวารย้ายออกไปจากที่ดินแปลงนี้ แต่จำเลยเพิกเฉย ทำให้โจทก์ต้องขาดประโยชน์จากการนำที่ดินออกให้เช่าขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกไปจากสิ่งปลูกสร้างเลขที่ 4351และที่ดินโฉนดเลขที่ 8471 แขวงบางนา เขตพระโขนง กรุงเทพมหานครกับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์นับถึงวันฟ้อง 90,000 บาท และชดใช้เป็นรายเดือนอีกเดือนละ 45,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะย้ายออกไป
จำเลยให้การว่า เมื่อประมาณปลายปี 2489 นางท้อ แซ่เบ๊ภรรยาของจำเลยได้ซื้อที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทจากนายจรูญ สีบุญเรือง นายจรูญได้มอบที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทให้นางท้อ โดยยังไม่ได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้ นางท้อและจำเลยได้ครอบครองที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทโดยความสงบเปิดเผย และด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันกว่า 40 ปี จึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทแล้ว โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องและหากโจทก์เสียหายก็ไม่เกินเดือนละ 1,000 บาท ขอให้ยกฟ้อง
นางจารุณี ศรีสุนทร นายวีระชัย สุจีรกุลกิจนางวันทนีย์ สุขศรีวงศ์ นายวีระยุทธ สุจีรกุลกิจและนางสุวรรณา สุขุมวาท ยื่นคำร้องสอดว่า ผู้ร้องทั้งห้าเป็นบุตรของนางท้อกับจำเลย เมื่อนางท้อตายผู้ร้องทั้งห้าได้ครอบครองที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทร่วมกับจำเลยต่อจากนางท้อตลอดมาผู้ร้องทั้งห้ากับจำเลยจึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทร่วมกัน จำเลยร่วมทั้งห้าจึงมีส่วนได้เสียตามกฎหมายร่วมกับจำเลยขอเข้าเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยร่วมทั้งห้ายื่นคำให้การและฟ้องแย้ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า รับคำให้การจำเลยร่วมทั้งห้า ส่วนฟ้องแย้งเนื่องจากจำเลยมิได้ใช้สิทธิฟ้องแย้ง ดังนั้น จำเลยร่วมทั้งห้าจึงไม่อาจใช้สิทธิฟ้องแย้งได้ ไม่รับฟ้องแย้งของจำเลยร่วมทั้งห้า
จำเลยร่วม ทั้ง ห้า อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
จำเลยร่วม ทั้ง ห้า ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยร่วมทั้งห้าว่า จำเลยร่วมทั้งห้ามีสิทธิฟ้องแย้งหรือไม่พิเคราะห์แล้ว ตามคำร้องขอเข้าเป็นจำเลยร่วมของจำเลยร่วมทั้งห้าอ้างว่า จำเลยและนางท้อ แซ่เบ๊หรือสินธพหรือสินธบมารดาของจำเลยร่วมทั้งห้าได้ร่วมกันซื้อที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างจากนายจรูญ สีบุญเรือง มาตั้งแต่ปี 2490 แต่มิได้จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม หลังจากทำสัญญาซื้อขายแล้วนายจรูญได้ส่งมอบที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่จำเลยและนางท้อจำเลยและนางท้อได้ครอบครองใช้ทำประโยชน์ตลอดมาจนได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างแล้วโดยการครอบครองปรปักษ์ต่อมานางท้อ ได้ถึงแก่ความตาย จำเลยร่วมทั้งห้าผู้เป็นบุตรของนางท้อจึงได้ครอบครองที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างต่อมาซึ่งมีลักษณะเป็นเจ้าของร่วมมีฐานะเดียวกันกับจำเลย และในตอนท้ายของคำร้องจำเลยร่วมทั้งห้าก็ขอเข้าเป็นจำเลยร่วม ตามคำร้องของจำเลยร่วมทั้งห้าเห็นได้ชัดแจ้งว่า จำเลยร่วมทั้งห้าได้ร้องขอเข้าเป็นจำเลยร่วม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1)หาใช่เป็นการร้องขอเข้ามาในฐานะที่เป็นคู่ความฝ่ายที่สามตามมาตรา 57(1) แต่อย่างใดไม่ เมื่อจำเลยร่วมทั้งห้าขอเข้ามาเป็นจำเลยร่วมตามมาตรา 57(2) จึงต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิอย่างอื่นนอกจากสิทธิที่มีอยู่แก่จำเลยซึ่งเป็นคู่ความฝ่ายที่ตนเข้าร่วม เมื่อจำเลยให้การโดยมิได้ฟ้องแย้ง จำเลยร่วมทั้งห้าจึงไม่อาจใช้สิทธิฟ้องแย้งโจทก์ได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว”
พิพากษายืน