คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3664/2557

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามบันทึกข้อตกลงมีข้อความระบุไว้แต่เพียงว่า ช. และจำเลยต่างยืนยันว่าไม่ติดใจที่จะเรียกร้องค่าเสียหายหรือดำเนินคดีอย่างใดซึ่งกันและกัน ค่าเสียหายที่เกิดจากรถเฉี่ยวชนกันดังกล่าวมีทั้งค่าซ่อมรถ ค่ารถยก และค่ารักษาพยาบาลของผู้ที่บาดเจ็บ แต่ตามบันทึกดังกล่าวไม่มีรายละเอียดหรือข้อตกลงที่ชัดแจ้งว่าทั้งสองฝ่ายตกลงระงับข้อพิพาทโดยยอมสละข้อเรียกร้องที่เกิดขึ้นโดยสิ้นเชิงแต่อย่างใด อีกทั้งข้อเท็จจริงได้ความว่า ผู้เอาประกันรถยนต์กระบะคือ ธ. มิใช่ ช. สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายเป็นค่าซ่อมรถหรือค่ายกรถจึงเป็นสิทธิของ ธ. ไม่ใช่สิทธิของ ช. ทั้งไม่ปรากฏว่า ธ. ได้มอบอำนาจให้ ช. ดำเนินการตกลงกับคู่กรณีแต่อย่างใด บันทึกข้อตกลงดังกล่าวจึงมิใช่เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความอันจะทำให้หนี้ในมูลละเมิดครั้งนี้ระงับสิ้นไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 850 ถึง 852

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 107,400 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 103,110 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติโดยที่คู่ความมิได้ฎีกาโต้แย้งว่า โจทก์เป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์กระบะหมายเลขทะเบียน บน 7290 นครปฐม ไว้จากนายธนัฐ จำเลยเป็นเจ้าของรถยนต์เก๋งหมายเลขทะเบียน ข – 9350 นครปฐม เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2543 เวลา 15.40 นาฬิกา ขณะที่นายชาญศิลป์ ขับรถยนต์กระบะที่โจทก์รับประกันภัยไว้จากอำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม มาตามถนนสายศาลายา – บางภาษี เมื่อถึงที่เกิดเหตุบริเวณทางแยกเข้าสถานีบริการน้ำมัน ปตท. ได้เฉี่ยวชนกับรถยนต์เก๋งหมายเลขทะเบียน ข – 9350 นครปฐมซึ่งจำเลยขับออกจากสถานีบริการน้ำมัน เพื่อจะเลี้ยวกลับรถไปในช่องเดินรถฝั่งตรงข้ามเป็นเหตุให้รถทั้งสองคันได้รับความเสียหาย นายชาญศิลป์กับนายขวัญชัย ซึ่งนั่งมาในรถยนต์กระบะได้รับบาดเจ็บ หลังเกิดเหตุร้อยตำรวจเอกแดน พนักงานสอบสวนเปรียบเทียบปรับนายชาญศิลป์และจำเลยคนละ 500 บาท และทำบันทึกข้อตกลงไว้ในรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีว่า ทั้งนายชาญศิลป์และจำเลยต่างไม่ติดใจที่จะเรียกร้องค่าเสียหายหรือดำเนินคดีซึ่งกันและกันตามสำเนารายงานประจำวันเกี่ยวกับคดี โจทก์นำรถยนต์ที่รับประกันภัยไว้ไปซ่อมเสียค่าใช้จ่ายในการซ่อม ค่ารถยก ค่ารักษาพยาบาลให้นายชาญศิลป์และนายขวัญชัยเป็นเงิน 103,100 บาทตามใบสั่งจ่ายค่าสินไหมทดแทน
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ที่จำเลยและนายชาญศิลป์ต่างทำบันทึกไว้ต่อหน้าพนักงานสอบสวนว่า ไม่ติดใจดำเนินคดีและเรียกร้องค่าเสียหายใด ๆ ต่อกันนั้นถือเป็นข้อตกลงในการระงับข้อพิพาทให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กันตามลักษณะของสัญญาประนีประนอมยอมความหรือไม่ เห็นว่า ตามบันทึกข้อตกลงมีข้อความระบุไว้แต่เพียงว่านายชาญศิลป์และจำเลยต่างยืนยันว่าไม่ติดใจที่จะเรียกร้องค่าเสียหายหรือดำเนินคดีอย่างใดซึ่งกันและกัน ค่าเสียหายที่เกิดจากรถเฉี่ยวชนกันดังกล่าวมีทั้งค่าซ่อมรถ ค่ารถยก และค่ารักษาพยาบาลของผู้ที่บาดเจ็บ แต่ตามบันทึกดังกล่าวไม่มีรายละเอียดหรือข้อตกลงที่ชัดแจ้งว่าทั้งสองฝ่ายตกลงระงับข้อพิพาทโดยยอมสละข้อเรียกร้องที่เกิดขึ้นโดยสิ้นเชิงแต่อย่างใด อีกทั้งข้อเท็จจริงได้ความว่า ผู้เอาประกันภัยรถยนต์กระบะคือนายธนัฐ มิใช่นายชาญศิลป์ สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายเป็นค่าซ่อมรถหรือค่ายกรถจึงเป็นสิทธิของนายธนัฐไม่ใช่สิทธิของนายชาญศิลป์ ทั้งไม่ปรากฏว่านายธนัฐได้มอบอำนาจให้นายชาญศิลป์ดำเนินการตกลงกับคู่กรณีแต่อย่างใด บันทึกข้อตกลงดังกล่าวจึงมิใช่เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความอันจะทำให้หนี้ในมูลละเมิดครั้งนี้ระงับสิ้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 850 ถึง 852 เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังว่า เหตุที่รถยนต์ชนกันเกิดจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยแต่เพียงฝ่ายเดียว โจทก์ในฐานะผู้รับประกันภัยรถยนต์กระบะคันเกิดเหตุและได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนไปตามกรมธรรม์ประกันภัยแล้ว จึงรับช่วงสิทธิของผู้ถูกละเมิดเรียกค่าเสียหายจากจำเลยผู้ทำละเมิดได้ ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 103,110 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2544 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ทั้งนี้ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องต้องไม่กิน 4,290 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ

Share