คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3657/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 กู้เงินโจทก์ มีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน แม้ จะ รับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 เคยนำเช็คไปชำระหนี้เงินกู้รายพิพาท แก่ โจทก์ แต่ก็ปรากฏว่าธนาคารปฏิเสธการใช้เงินตามเช็คนั้น หนี้ เงินกู้ ราย นี้ จึงยังคงมีอยู่ตามหนังสือสัญญากู้ การที่จำเลยที่ 2 นำสืบ ว่า จำเลย ที่ 1นำเงินสดตามเช็คไปชำระแก่โจทก์จนครบและ รับ เช็ค คืน จากโจทก์แล้วนั้นเป็นการนำสืบให้ศาลฟังข้อเท็จจริงว่า หนี้ เงินกู้ ตามสัญญากู้รายพิพาทได้ระงับแล้วโดยจำเลยที่ 1 นำ เงินสด ไป ชำระ ให้แก่โจทก์ จึงเป็นการนำสืบการใช้เงินตามความหมาย แห่ง ป.พ.พ.มาตรา 653 วรรคสอง จำเลยที่ 2 ไม่มีหลักฐานเป็น หนังสือ ลง ลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดง ทั้งไม่ปรากฏว่าเอกสารอันเป็น หลักฐาน แห่ง การกู้ยืมเงินนั้นได้เวนคืนแล้วหรือได้แทงเพิกถอนแล้ว จึง รับฟัง ไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ชำระหนี้แก่โจทก์ที่ 1 สำหรับเช็ค ที่ อ้างว่า นำ ไปชำระหนี้เงินกู้นั้นก็ไม่ใช่หลักฐานแห่งการกู้ยืม จำเลย ที่ 2 จึง ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์ตามฟ้อง.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้เงินโจทก์จำนวน 300,000บาท ดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จำเลยที่ 2 ตกลงเข้าทำสัญญาค้ำประกันยอมรับผิดต่อโจทก์อย่างลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ต่อมาจำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 412,500 บาท ให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของต้นเงิน 300,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 1 กู้เงินโจทก์ และจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 1 ไว้ต่อโจทก์จริง แต่ประมาณต้นปี 2527 จำเลยที่ 1 ได้ชำระหนี้เป็นเช็คจำนวน 4 ฉบับ ให้โจทก์ซึ่งต่อมาจำเลยที่ 1 ได้นำเงินสดไปชำระหนี้แทนเช็คที่ชำระให้โจทก์โจทก์จึงคืนเช็คมาให้จำเลยที่ 1 แต่ไม่คืนสัญญากู้ หนี้ตามสัญญากู้ที่โจทก์นำมาฟ้องจึงระงับไปแล้ว จำเลยที่ 2 ในฐานะที่เป็นผู้ค้ำประกันจึงไม่ต้องรับผิด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชำระเงินจำนวน 300,000 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 31 มกราคม2526 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแต่ทั้งนี้ดอกเบี้ยที่คำนวณถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 112,500 บาท
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่าจำเลยที่ 1 ได้ชำระหนี้เงินกู้ตามฟ้องให้แก่โจทก์เสร็จแล้ว อันเป็นเหตุให้จำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันไม่ต้องรับผิดจริงหรือไม่ เห็นว่าถึงแม้จะรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ได้เคยนำเช็คตามเอกสารหมาย ล.1ถึง ล.3 ไปชำระหนี้เงินกู้รายพิพาท แต่ข้อเท็จจริงยังรับฟังต่อไปได้ว่าธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คทั้งสามฉบับ หนี้เงินกู้รายนี้จึงยังคงมีอยู่ตามหนังสือสัญญากู้ การที่จำเลยที่ 2 นำสืบว่าจำเลยที่ 1 นำเงินสดตามเช็คไปชำระแก่โจทก์จนครบและรับเช็คคืนจากโจทก์แล้วนั้นเป็นการนำสืบเพื่อให้ศาลรับฟังข้อเท็จจริงว่าหนี้เงินกู้ตามหนังสือสัญญากู้รายพิพาทได้ระงับแล้วโดยจำเลยที่ 1นำเงินสดไปชำระให้แก่โจทก์ จึงเป็นการนำสืบการใช้เงินตามความหมายของบทบัญญัติมาตรา 653 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์จำเลยที่ 2 ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดงทั้งไม่ปรากฏว่าเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นได้เวนคืนแล้ว หรือได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้ว จึงรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ เช็คตามเอกสารหมาย ล.1ถึง ล.3 มิใช่หลักฐานแห่งการกู้ยืมดังที่จำเลยที่ 2 ฎีกา จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันจึงต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ชำระเงินให้แก่โจทก์ตามฟ้อง
พิพากษายืน.

Share