แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยให้การเกี่ยวกับการครอบครองว่า ที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินถึงแม้จำเลยซึ่งเป็นผู้ครอบครองและอยู่อาศัยจะอ้างใช้ยันต่อรัฐไม่ได้ แต่กรณีนี้จำเลยครอบครองและอยู่อาศัยตลอดมาเกินกว่า30 ปี จำเลยจึงมีสิทธิดีกว่าโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1304(1) ทั้งไม่มีข้อความตอนใดในคำให้การของจำเลยที่จะมีความหมายให้แปลได้ว่าจำเลยได้ยกประเด็นเรื่องการได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโดยการครอบครองขึ้นเป็นข้อต่อสู้ คำให้การของจำเลยจึงไม่มีประเด็นในเรื่องการได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382.
ย่อยาว
คดีทั้งสิบสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกันโดยให้เรียกจำเลยทั้งสิบสวนเป็นจำเลยที่ 1 ถึงที่ 10 เรียงตามลำดับสำนวนโจทก์ทั้งสิบสำนวนฟ้องมีใจความทำนองเดียวกันว่า โจทก์ได้รับอนุมัติจากกระทรวงมหาดไทยให้เป็นผู้มีสิทธิใช้ที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดินเนื้อที่ประมาณ 14 ไร่ 2 งาน 89 ตารางวา ตั้งอยู่ตำบลหัวหินอำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ อันเป็นที่ดินซึ่งมีพระราชกฤษฎีกาถอนสภาพที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ราษฎรใช้ประโยชน์ร่วมกันในท้องที่ตำบลหัวหิน อำเภอหัวหินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พ.ศ. 2511 เพื่อจัดหาผลประโยชน์สำหรับบำรุงท้องที่ จำเลยทั้งสิบเข้ามาปลูกบ้านอยู่อาศัยในที่ดินแปลงนี้โจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยและบริวารอยู่อาศัยอีกต่อไป จึงบอกกล่าวจำเลยและบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปแต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสิบและบริวารรื้อถอนบ้านที่อยู่อาศัยออกจากที่ดินหากจำเลยไม่รื้อถอนให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลสั่งให้โจทก์มีอำนาจรื้อถอนได้เองโดยให้จำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่พิพาทอีกต่อไป
จำเลยทั้งสิบสำนวนให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยเพราะโจทก์ได้ตกลงกับห้างหุ้นส่วนจำกัด ต.ธนะศิลป์ ซึ่งเป็นผู้ทำการก่อสร้างศูนย์การค้าในที่พิพาทไว้ก่อนฟ้องคดีว่าให้ห้างดังกล่าวจัดหาที่ดินอยู่อาศัยแห่งใหม่ให้เป็นกรรมสิทธิ์แก่จำเลยทั้งสิบรายละ 40 ตารางวา พร้อมสาธารณูปโภค แต่ห้างดังกล่าวซึ่งเป็นตัวแทนของโจทก์ยังไม่จัดหาที่ดินให้แก่จำเลยทั้งสิบตามข้อตกลง จำเลยทั้งสิบครอบครองและอยู่อาศัยในที่พิพาทมากกว่า30 ปี อันเป็นเวลาก่อนประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาถอนสภาพที่ดินฯพ.ศ. 2511 พระราชกฤษฎีกาจึงไม่มีผลใช้บังคับแก่จำเลย และจำเลยมีสิทธิดีกว่าโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ในวันนัดชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นสอบข้อเท็จจริงจากคู่ความและเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้ว จึงให้งดชี้สองสถานและวินิจฉัยว่าเมื่อประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาถอนสถานที่ พิพาทอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ราษฎรใช้ประโยชน์ร่วมกันแล้ว ที่พิพาทจึงเป็นเพียงทรัพย์สินของแผ่นดินธรรมดา จำเลยทั้งสิบครอบครองที่พิพาทโดยเจตนาเป็นเจ้าของมากกว่าสิบปีนับตั้งแต่ประกาศใช้พระราชกฤษฎีกา จำเลยทั้งสิบจึงได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสิบสำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
จำเลยทั้งสิบสำนวนฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีคงมีปัญหาตามฎีกาของจำเลยทั้งสิบเพียงประการเดียวว่า การที่ศาลชั้นต้นหยิบยกเอาประเด็นที่ว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโดยการครอบครองแล้วหรือไม่ขึ้นมาวินิจฉัยและพิพากษายกฟ้องโจทก์เสียนั้นเป็นการชอบด้วยกระบวนพิจารณาหรือไม่ ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ตามคำให้การจำเลยทั้งสิบในส่วนที่เกี่ยวกับการครอบครองคงมีข้อความเพียงว่า “ที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินถึงแม้จำเลยซึ่งเป็นผู้ครอบครองและอยู่อาศัยจะอ้างใช้ยันต่อรัฐไม่ได้ แต่กรณีนี้จำเลยครอบครองและอยู่อาศัยตลอดมาเกินกว่า 30 ปี จำเลยจึงมีสิทธิดีกว่าโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304(1)” ดังนี้ จำเลยทั้งสิบมิได้อ้างเลยว่าที่พิพาทเป็นที่ดินที่มีโฉนดที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดินและจำเลยทั้งสิบได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทมาด้วยการครอบครองโดยความสงบ เปิดเผย และเจตนาเป็นเจ้าของ ทั้งไม่มีข้อความตอนใดในคำให้การของจำเลยทั้งสิบที่จะมีความหมายให้แปลได้ว่าจำเลยทั้งสิบได้ยกประเด็นเรื่องการได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโดยการครอบครองขึ้นเป็นข้อต่อสู้ คำให้การของจำเลยทั้งสิบจึงไม่มีประเด็นในเรื่องการได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทของจำเลยทั้งสิบโดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสิบได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโดยการครอบครองจึงเป็นเรื่องนอกประเด็น ไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา และคดียังมีประเด็นข้อพิพาทอื่น ๆ อยู่ตามคำฟ้องคำให้การ ซึ่งศาลชั้นต้นควรฟังพยานหลักฐานของคู่ความและวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทเหล่านี้ก่อน ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาและพิพากษาใหม่ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.