แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนจำนวน 79 เม็ด น้ำหนัก 6.93 กรัม คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 2.66 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และจำเลยจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวจำนวน 50 เม็ด น้ำหนัก 4.46 กรัม ให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อคดีนี้จึงมิใช่คดีที่กฎหมายกำหนดอัตราโทษอย่างต่ำไว้ให้จำคุกตั้งแต่ห้าปีขึ้นไปหรือโทษสถานที่หนักกว่านั้น เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ศาลย่อมมีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยได้โดยไม่จำต้องสืบพยานหลักฐานตาม ป.วิ.อ. มาตรา 176 วรรคหนึ่ง โจทก์จึงไม่จำต้องเสนอรายงานการตรวจพิสูจน์แนบมาท้ายฟ้อง
ความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน แม้คำฟ้องไม่ปรากฏน้ำหนักสารบริสุทธิ์ของเมทแอมเฟตามีนที่จำเลยจำหน่าย ฟ้องของโจทก์ก็ครบองค์ประกอบความผิดแล้วเมื่อจำเลยให้การรับสารภาพ จึงสามารถรับฟังลงโทษจำเลยได้ตามฟ้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 91 ริบเมทแอมเฟตามีนและโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลาง คืนธนบัตรของกลางที่ใช้ล่อซื้อแก่เจ้าของ
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2) (ที่ถูก มาตรา 15 วรรคหนึ่งและวรรคสาม (2), 66 วรรคสอง เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 7 ปี และปรับ 400,000 บาท ฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำคุก 7 ปี และปรับ 400,000 บาท รวมจำคุก 14 ปี และปรับ 800,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 7 ปี และปรับ 400,000 บาท ริบของกลาง คืนธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อแก่เจ้าของ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 66 วรรคหนึ่ง จำคุก 7 ปี และปรับ 300,000 บาท เมื่อรวมกับโทษฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว เป็นจำคุก 14 ปี และปรับ 700,000 บาท ลดโทษให้กึ่งหนึ่งแล้ว คงจำคุก 7 ปี และปรับ 350,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่าความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ปริมาณของยาเสพติดให้โทษเป็นองค์ประกอบที่สำคัญ เมื่อโจทก์ไม่มีรายงานการตรวจพิสูจน์แนบมาท้ายฟ้อง ย่อมไม่อาจทราบได้ว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้อง ส่วนความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนโจทก์ไม่บรรยายฟ้องว่าเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวมีน้ำหนักสารบริสุทธิ์เท่าใด เป็นฟ้องที่ไม่มีองค์ประกอบความผิดเมทแอมเฟตามีนนั้นอาจไม่ได้รับการตรวจพิสูจน์และไม่ใช่สิ่งของผิดกฎหมายก็เป็นได้ ไม่ชอบที่ศาลจะรับฟังลงโทษจำเลย ขอให้ยกฟ้องนั้น เห็นว่า คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องชัดเจนว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนจำนวน 79 เม็ด น้ำหนัก 6.93 กรัม คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 2.66 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำเลยจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวจำนวน 50 เม็ด น้ำหนัก 4.46 กรัม ให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อ เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง และคดีนี้มิใช่คดีที่กฎหมายกำหนดอัตราโทษอย่างต่ำไว้ให้จำคุกตั้งแต่ห้าปีขึ้นไปหรือโทษสถานที่หนักกว่านั้นศาลย่อมมีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยได้โดยไม่จำต้องสืบพยานหลักฐานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176 วรรคหนึ่ง โจทก์จึงไม่จำต้องเสนอรายงานการตรวจพิสูจน์แนบมาท้ายฟ้อง และโดยเฉพาะความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน แม้ไม่ปรากฏน้ำหนักสารบริสุทธิ์ของเมทแอมเฟตามีนที่จำเลยจำหน่ายฟ้องของโจทก์ครบองค์ประกอบความผิดแล้ว เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพ จึงสามารถรับฟังลงโทษจำเลยได้ตามฟ้อง ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่จำเลยฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบาในความผิดฐานเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายนั้น เห็นว่า ความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น และให้ลงโทษจำเลยจำคุกไม่เกินห้าปีและปรับ ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ฎีกาของจำเลยดังกล่าวเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการลงโทษของศาลอุทธรณ์ภาค 2 จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยในข้อนี้นั้น เป็นการมิชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คดีคงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยต่อไปเพียงว่า สมควรลงโทษจำเลยในความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนสถานเบากว่าที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษามาหรือไม่ เห็นว่า เมทแอมเฟตามีนเป็นยาเสพติดให้โทษซึ่งมีพิษภัยร้ายแรงการที่จำเลยจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนนับเป็นต้นเหตุในการทำให้ผู้คนตกเป็นทาสของยาเสพติดให้โทษ และยังเป็นการเพิ่มจำนวนประชากรที่ติดยาเสพติดให้โทษชนิดดังกล่าวอีกด้วย การกระทำของจำเลยจึงเป็นภัยต่อสังคมและประเทศชาติเป็นอย่างยิ่ง ประกอบกับเมทแอมเฟตามีนที่จำเลยจำหน่ายมีจำนวนถึง 50 เม็ด น้ำหนัก 4.46 กรัม ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ใช้ดุลพินิจลงโทษจำคุกและลงโทษปรับจำเลยมานั้นเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดีแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน