คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3802/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

เมื่อจำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์แล้ว ศาลชั้นต้นมีหน้าที่ส่งคำร้องนั้นไปยังศาลอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 236 ไม่มีหน้าที่จะตรวจสั่งไม่รับเหมือนอย่างชั้นรับหรือไม่รับอุทธรณ์ตามความในมาตรา 232 การที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์จึงไม่ชอบ แต่เมื่อจำเลยอุทธรณ์คำสั่งไม่รับคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นได้ส่งอุทธรณ์และสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยว่าคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ดังกล่าวยื่นเกินกำหนดและให้ยกอุทธรณ์ จึงมีผลเป็นการที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับอุทธรณ์ยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้น คำสั่งของศาลอุทธรณ์ย่อมเป็นที่สุดตาม ป.วิ.พ. มาตรา 236 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระเงินตามเช็คที่จำเลยสั่งจ่ายเงินจำนวน 200,000 บาท เพื่อชำระหนี้ค่าแชร์แก่โจทก์และถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค จำเลยให้การต่อสู้ว่าฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องซ้อนกับคดีหมายเลขดำที่ 15184/2540 ของศาลชั้นต้น ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม และจำเลยมิได้เป็นหนี้โจทก์โจทก์นำเช็คของบุคคลอื่นมาฟ้องจำเลย ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า อุทธรณ์ของจำเลยไม่ปรากฏเนื้อหาแห่งคำฟ้อง คำให้การ ตลอดจนคำพิพากษาของศาลชั้นต้น เป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย มีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย
จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งฉบับลงวันที่ 8 มกราคม 2544 ขอให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ศาลสั่งไม่รับอุทธรณ์เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2543 โดยระบุให้มาทราบคำสั่งในวันที่ 7 ธันวาคม 2543 หากไม่มาถือว่าทราบคำสั่ง การที่จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์วันที่ 8 มกราคม 2544 ล่วงเลยกำหนดเวลา 15 วัน โดยมิได้ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาจึงมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์คำสั่งของจำเลย
จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับคำร้องอุทธรณ์คำสั่งอ้างว่า ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งในวันที่ 6 ธันวาคม 2543 แต่ไม่มีสำนวนลงมาที่งานอุทธรณ์-ฎีกา เพื่อลงคำสั่งของศาลให้คู่ความทราบตามกำหนดที่อ้างในตราประทับให้มารับทราบคำสั่งในวันที่ 7 ธันวาคม 2543 โดยคำสั่งลงมาให้จำเลยทราบจริงในวันที่ 25 ธันวาคม 2543 ล่วงเลยกำหนดที่ศาลมีคำสั่งให้มารับทราบ จึงไม่ใช่ความผิดของจำเลย ศาลต้องนับเวลาจากวันที่ได้รับทราบคำสั่งจริงๆ จึงถือว่าคำร้องอุทธรณ์คำสั่งฉบับลงวันที่ 8 มกราคม 2544 เป็นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย ขอศาลอุทธรณ์ได้โปรดมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งของศาลชั้นต้นและมีคำสั่งให้รับคำร้องอุทธรณ์คำสั่งฉบับลงวันที่ 8 มกราคม 2544 และพิจารณามีคำสั่งรับอุทธรณ์คำพิพากษาฉบับลงวันที่ 28 พฤศจิกายน 2543 ของจำเลย
ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่า คำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยยื่นเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 ทั้งจำเลยมิได้ยื่นคำขอขยายระยะเวลาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 คงอ้างแต่เพียงว่าจำเลยทราบคำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งไม่รับอุทธรณ์เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2543 ดังนั้น คำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยซึ่งยื่นเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2544 จึงยังไม่เกิน 15 วัน นับแต่วันที่จำเลยทราบคำสั่งเท่านั้น ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยจึงชอบแล้ว ยกคำร้อง
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ เมื่อจำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์แล้วศาลชั้นต้นมีหน้าที่ส่งคำร้องนั้นไปยังศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 236 ไม่มีหน้าที่จะตรวจสั่งไม่รับเหมือนอย่างชั้นรับหรือไม่รับอุทธรณ์ตามความในมาตรา 232 การที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์จึงไม่ชอบ แต่อย่างไรก็ตามเมื่อจำเลยอุทธรณ์คำสั่งไม่รับคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นได้ส่งอุทธรณ์และสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยว่าคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ดังกล่าวยื่นเกินกำหนดและให้ยกอุทธรณ์จึงมีผลเป็นการที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับอุทธรณ์ยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้น คำสั่งของศาลอุทธรณ์ย่อมเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 236 วรรคหนึ่ง จำเลยฎีกาคัดค้านคำสั่งศาลอุทธรณ์ไม่ได้”
พิพากษายกฎีกาจำเลย คืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกาทั้งหมดให้แก่จำเลย

Share