แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การตั้งตัวแทนให้ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินซึ่งได้มีการวางมัดจำกันไม่จำต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือแต่อย่างใด แม้ต่อมาจะได้มีการทำสัญญาจะซื้อขายเป็นหนังสืออีกก็ตาม.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญาจะขายที่ดิน ส่วนใต้สุดของที่ดินโฉนดเลขที่ 4321 จำนวน 1 ไร่ ในราคา 320,000 บาทให้แก่โจทก์ โจทก์วางมัดจำขณะทำสัญญา 150,000 บาท ราคาที่เหลือจะชำระกันในวันจดทะเบียนนิตกรรมโอนขายที่ดิน ซึ่งจะต้องไม่เกินวันที่ 6 พฤศจิกายน 2518 วัที่ 4 พฤศจิกายน 2518 จำเลยทำนิติกรรมจดทะเบียนโอนขายที่ดินให้แก่โจทก์ 3 งาน 4.6 ตารางวาโจทก์ชำระเงินให้จำเลย 93,680 บาท รวมเงินราคาที่ดินที่โจทก์ชำระให้จำเลยแล้ว 243,680 บาท ที่ดินส่วนที่เหลือ 95.4 ตารางวาจำเลยจะโอนให้โจทก์เมื่อได้หลักฐานที่ดินบางส่วนที่ไม่ตรงกันนั้นเรียบร้อยแล้ว จำเลยจำนองที่ดินส่วนที่เหลืออีก2 ไร่เศษไว้กับผู้มีชื่อ จำเลยจึงไม่สามารถโอนที่ดินส่วนที่เหลืออีก 95.4 ตารางวาให้โจทก์ได้ขอให้บังคับจำเลยแบ่งขายที่ดินโอนปราศจากจำนองแก่โจทก์เป็นเนื้อที่ 95.4 ตารางวาจากที่ดินโฉนดเลขที่ 4321 โดยตัดแบ่งส่วนทางใต้สุดเท่าที่ยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่และให้รับเงิน 76,380 บาทไปจากโจทก์หากจำเลยไม่ยอมแบ่งขายให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย และหากจำเลยไม่สามารถจดทะเบียนนิติกรรมแบ่งขายให้โจทก์ได้ ให้จำเลยใช้เงิน 305,280 บาทแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินฉบับลงวันที่ 6 พฤศจิกายน 2517 ขึ้นจริง แต่มิได้ขายให้โจทก์แต่ผู้เดียว ความจริงโจทก์ซื้อที่ดินตามฟ้องในนามของโจทก์บางส่วนและแทนบุคคลอื่น ผู้มีชื่ออีกประมาณ 10 ราย เฉพาะส่วนของโจทก์ โจทก์ซื้อเพียงประมาณ 64.13 ตารางวา คิดเป็นเงิน50,000 บาทเศษเท่านั้น จำเลยจัดการโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินให้โจทก์และบุคคลอื่นนั้นถูกต้องครบถ้วนทุกรายแล้ว จำเลยไม่ผิดสัญญา โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2517 โจทก์และจำเลยทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินส่วนใต้สุดของที่ดินโฉนดเลขที่ 4321 ของจำเลย จำนวน 1 ไร่ ในราคา 320,000 บาท โจทก์วางเงินมัดจำ 2,000 บาทแก่จำเลย ต่อมาวันที่ 6 พฤศจิกายน 2517 โจทก์และจำเลยทำหนังสือสัญญาจะซื้อขายที่ดินตามเอกสารหมาย จ.5 ต่อมาวันที่ 4 พฤศจิกายน 2518 จำเลยจดทะเบียนโอนขายที่ดินตามสัญญาดังกล่าวแก่โจทก์เพียง 3 งาน 4.6 ตารางวา ที่เหลืออีก 95.4ตารางวา จำเลยไม่ยอมจดทะเบียนโอนขายแก่โจทก์ ปัญหาจะต้องวินิจฉัยมีว่า จำเลยผิดสัญญาหรือไม่ ศาลชั้นให้เจ้าพนักงานที่ดินจังหหัดสงขลาทำแผนที่พิพาทขึ้น โจทก์จำเลยรับรองแผนที่พิพาทว่าถูกต้องปรากฏว่าที่ดินเนื้อที่ 3 งาน 4.6 ตารางวาที่จำเลยจดทะเบียนโอนขายให้แก่โจทก์ไปแล้วอยู่ทางทิศใต้สุดของแผนที่พิพาท ตามหนังสือสัญญาจะซื้อขายที่ดินรายพิพาทนั้น จำเลยตกลงขายที่ดินโฉนดเลขที่ 4321 ตามแผนที่พิพาทด้านทิศใต้สุดแก่โจทก์ ดังนั้น ที่ดินพิพาทที่โจทก์ฟ้องขอบังคับให้จำเลยโอนขายแก่โจทก์อีก 95.4 ตารางวา จึงอยู่ในแผนที่พิพาท และอยู่เหนือที่ดินที่จำเลยจดทะเบียนโอนขายแก่โจทก์ไปแล้ว ซึ่งจำเลยให้การและนำสืบว่าที่ดินพิพาทคือที่ดินแปลงหมายเลขที่ 95, 361 และ 362 จำเลยจดทะเบียนโอนขายให้แก่นายสุทิน นายชีพ และนายสนั่น ไปแล้วคนละแปลงโดยบุคคลทั้งสามดังกล่าวเป็นตัวการมอบให้โจทก์เป็นตัวแทนทำหนังสือสัญญาซ์้อขายที่ดินโฉนดเลขที่ 4321 ของจำเลยการที่จำเลยจดทะเบียนโอนขายที่ดินแก่บุคคลทั้งสามดังกล่าวจึงเป็นการปฏิบัติตามสัญญาซ์้อขายที่ดินระหว่างโจทก์จำเลยปัญหาจึงมีว่าการที่จำเลยจดทะเบียนโอนขายที่ดินแก่นายสุทิน นายชีพ และนานสนั่นเป็นการปฏิบัติตามสัญญาหรือไม่เห็นว่า ตามหนังสือเสนอซื้อที่ดินสหกรณ์ของโจทก์ ลงวันที่ 10กันยายน 2517 ตามเอกสารหมาย ล.2 ปรากฏว่าโจทก์เป็นตัวผทนผู้เช่าซึ่งอาศัยอยู่บนที่ดินนั้นเสอนขอซื้อที่ดินจากจำเลยจำนวน 1 ไร่ นอกจากนั้นจำเลยยังมีนายสุทิน นายชีพ และนายสนั่นมาเบิกความว่าโจทก์เป็นตัวแทนของตน ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าโจทก์ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทแทนนายสุทินนายชีพ และนายสนั่น เมื่อการทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินมีการวางมัดจำกัน การตั้งตัวแทนให้ทำสัญญารายนี้จึงไม่จำต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือแต่อย่างใด แม้ต่อมาจะได้มีการทำสัญญาจะซื้อขายเป็นหนังสือก็ตาม เมื่อจำเลยโอนขายที่ดินพิพาทแก่ตัวการตามสัญญาแล้ว จำเลยจึงไม่ผิดสัญญาฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.