แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
อาวุธปืนของกลางเป็นอาวุธปืนแก๊ปยาว ซึ่งได้ความว่าจำเลยมีไว้เพื่อใช้ประโยชน์ในการยิงสัตว์เล็กๆ ที่มารบกวนกัดกินพืชไร่ของจำเลยและชาวบ้าน จำเลยไม่ได้มีไว้เพื่อใช้ในการก่อเหตุใดๆ ตามพฤติการณ์จึงไม่ร้ายแรงมากนัก ยังอยู่ในวิสัยที่จะแก้ไขฟื้นฟูให้จำเลยกลับตัวเป็นพลเมืองดีได้ ทั้งการลงโทษจำคุกระยะสั้น นอกจากจะไม่เกิดผลในการแก้ไขฟื้นฟูความประพฤติของจำเลยแล้ว ยังทำให้จำเลยมีประวัติเสื่อมเสีย เมื่อพ้นโทษแล้วก็ยากที่จะกลับตัวเป็นพลเมืองดีประกอบสัมมาชีพเลี้ยงตนเองและครอบครัวโดยสุจริตต่อไปได้การรอการลงโทษจำคุกและคุมความประพฤติจำเลยไว้น่าจะเป็นผลดีแก่จำเลยและสังคมโดยส่วนรวมมากกว่า แม้จะปรากฏว่าจำเลยเคยต้องคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกแต่คดีดังกล่าวยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาจึงยังไม่ถึงที่สุด คำพิพากษาของศาลชั้นต้นดังกล่าวอาจถูกศาลฎีกาเปลี่ยนแปลงได้ ซึ่งผลสุดท้ายจำเลยอาจไม่ต้องรับโทษถึงจำคุก กรณีเช่นนี้ถือไม่ได้ว่าจำเลยได้รับโทษจำคุกมาก่อน ศาลฎีกามีอำนาจรอการลงโทษจำเลยในคดีนี้ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนวัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 72 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32 ริบของกลาง นับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 757/2545 ของศาลชั้นต้น
จำเลยให้การรับสารภาพ และรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2590 มาตรา 7, 72 วรรคหนึ่ง ลงโทษจำคุก 1 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุก 6 เดือน ริบของกลาง นับโทษจำเลยต่อจากโทษจำคุกในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 757/2545 ของศาลชั้นต้น
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยฎีกาขอให้ลงโทษในสถานเบาและรอการลงโทษจำคุก นั้น เห็นว่า อาวุธปืนของกลางเป็นอาวุธปืนแก๊ปยาว ซึ่งได้ความจากฎีกาของจำเลยที่โจทก์มิได้คัดค้านว่าจำเลยมีไว้ใช้ประโยชน์ในการยิงสัตว์เล็กๆ ที่มารบกวนกัดกินพืชไร่ของจำเลยและชาวบ้าน จำเลยไม่ได้มีไว้เพื่อใช้ในการก่อเหตุใดๆ ตามพฤติการณ์จึงไม่ร้ายแรงมากนัก ยังอยู่ในวิสัยที่จะแก้ไขฟื้นฟูให้จำเลยกลับตัวเป็นพลเมืองดีได้ ทั้งการลงโทษจำคุกระยะสั้นนอกจากจะไม่เกิดผลในการแก้ไขฟื้นฟูความประพฤติของจำเลยแล้ว ยังทำให้จำเลยมีประวัติเสื่อมเสีย เมื่อพ้นโทษแล้วก็ยากที่จะกลับตัวเป็นพลเมืองดีประกอบสัมมาชีพเลี้ยงตนเองและครอบครัวโดยสุจริตต่อไปได้ การรอการลงโทษจำคุกและคุมความประพฤติจำเลยไว้น่าจะเป็นผลดีแก่จำเลยและสังคมโดยส่วนรวมมากกว่า นอกจากนี้แม้จะปรากฏว่าจำเลยเคยต้องคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกแต่ข้อเท็จจริงที่ได้ความจากฎีกาของจำเลยซึ่งโจทก์มิได้แย้งเป็นอย่างอื่นว่า คดีดังกล่าวยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาจึงยังไม่ถึงที่สุดคำพิพากษาของศาลชั้นต้นดังกล่าวอาจถูกศาลฎีกาเปลี่ยนแปลงได้ ซึ่งผลสุดท้ายจำเลยอาจไม่ต้องรับโทษถึงจำคุก กรณีเช่นนี้ถือไม่ได้ว่าจำเลยได้รับโทษจำคุกมาก่อนศาลฎีกาจึงมีอำนาจรอการลงโทษจำเลยในคดีนี้ได้ ส่วนโทษจำคุกที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดมานั้นเหมาะสมแก่รูปคดีแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน แต่เพื่อให้จำเลยหลาบจำ จึงให้ลงโทษปรับอีกสถานหนึ่ง”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษปรับจำเลยเป็นเงิน 15,000 บาท อีกสถานหนึ่งลดโทษให้จำเลยกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงปรับ 7,500 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 3 ปี และคุมความประพฤติจำเลยไว้ 2 ปี นับตั้งแต่วันที่ได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้จำเลยฟัง โดยให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติปีละ 3 ครั้ง ตามเงื่อนไขและกำหนดระยะเวลาที่พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควร ให้จำเลยละเว้นการประพฤติใดอันอาจนำไปสู่การกระทำความผิดทำนองนี้อีก กับให้จำเลยกระทำกิจการบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติและจำเลยเห็นสมควรมีกำหนด 30 ชั่วโมงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ยกคำขอให้นับโทษต่อ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3