คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3642/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า ธนบัตรจำนวน 300 บาท ที่โจทก์ขอให้ศาลมีคำสั่งริบนั้นจำเลยได้มาจากการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนก่อนคดีนี้ ดังนั้น ธนบัตรดังกล่าวจึงมิใช่ทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิดในคดีที่จำเลยถูกฟ้อง ศาลจึงไม่มีอำนาจริบธนบัตรดังกล่าว การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาริบธนบัตร 300 บาท ดังกล่าว จึงเป็นการไม่ชอบ แม้จำเลยจะไม่อุทธรณ์แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2545 เวลากลางวัน จำเลยกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือ จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 จำนวน 25 เม็ด น้ำหนัก 2.310 กรัม คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 0.556 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนที่มีไว้ในครอบครองดังกล่าวจำนวน 1 เม็ด น้ำหนักไม่ปรากฏชัดให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อไปในราคา 100 บาท เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมด้วยธนบัตรฉบับละ 100 บาท จำนวน 1 ฉบับ ซึ่งเป็นธนบัตรที่ได้จากการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้สายลับเมทแอมเฟตามีนที่จำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายจำนวน 1 เม็ด และเมทแอมเฟตามีนที่เหลือจากการจำหน่ายจำนวน 24 เม็ด กับยึดได้ธนบัตรอื่นๆ จำนวน 300 บาท ที่จำเลยได้มาจากการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนก่อนคดีนี้ เป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 91 คืนธนบัตรจำนวน 100 บาท ที่ใช้ล่อซื้อของกลางแก่เจ้าของ และริบของกลางอื่นที่เหลือทั้งหมด
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคหนึ่ง (ที่ถูก 66 วรรคหนึ่ง, วรรคสอง) การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 5 ปี ปรับ 400,000 บาท ฐานจำหน่ายยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 จำคุก 4 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ฐานมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย คงจำคุก 2 ปี 6 เดือน ปรับ 200,000 บาท ฐานจำหน่ายยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 คงจำคุก 2 ปี รวมจำคุก 4 ปี 6 เดือน ปรับ 200,000 บาท หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ริบของกลางคืนธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อแก่เจ้าของ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษฐานมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 5 ปี ไม่ลงโทษปรับและไม่ริบธนบัตรอื่นๆ จำนวน 300 บาท นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่โจทก์ฎีกาว่า ที่ศาลอุทธรณ์ไม่ริบธนบัตรจำนวน 300 บาท ของกลางนั้นชอบหรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาอ้างว่าธนบัตรดังกล่าวจำเลยได้มาจากการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนซึ่งกระทำในลักษณะต่อเนื่องกับการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนในคดีนี้ ศาลจึงมีอำนาจสั่งริบได้ และเมื่อศาลชั้นต้นสั่งริบแล้ว จำเลยไม่ได้อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์จึงไม่มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเพราะไม่มีประเด็นในชั้นอุทธรณ์พิจารณาแล้ว เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่า ธนบัตรจำนวน 300 บาท ของกลางที่โจทก์ขอให้ศาลมีคำสั่งริบนั้นจำเลยได้มาจากการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนก่อนคดีนี้ ดังนั้น ธนบัตรดังกล่าวจึงมิใช่ทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิดในคดีที่จำเลยถูกฟ้อง ศาลจึงไม่มีอำนาจที่จะริบธนบัตรดังกล่าว การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาริบธนบัตร 300 บาท จึงเป็นการไม่ชอบ แม้จำเลยจะไม่อุทธรณ์แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ที่ศาลอุทธรณ์ไม่ริบธนบัตรจำนวน 300 บาท ของกลางจึงชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share