คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3629/2529

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องการคุ้มครองแรงงานข้อ 10 วรรคแรกกำหนดสิทธิของลูกจ้างว่าถ้าได้ทำงานมาครบหนึ่งปีเต็มก็จะมีสิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีอย่างน้อยหกวันทำงานและสิทธินี้เป็นสิทธิแต่ละปี เมื่อลูกจ้างทำงานครบปีแรกแล้ว ถ้าได้หยุดพักผ่อนประจำปีก็ถือว่าเป็นการหยุดพักผ่อนประจำปีของปีที่ผ่านมา และในปีต่อไปถือว่าลูกจ้างมีสิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีได้ทันทีโดยไม่ต้องทำงานให้ครบปีอีก
โจทก์แต่ละคนทำงานกับจำเลยเป็นเวลาเกิน 3 ปีแล้ว โจทก์บางคนได้ใช้สิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีงบประมาณ 2526 ไปแล้ว ส่วนวันหยุดพักผ่อนประจำปีงบประมาณ 2527 ซึ่งโจทก์มีสิทธิหยุดพักผ่อนตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2526นั้นโจทก์ยังมิได้ใช้สิทธิ เมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์วันที่ 2 พฤศจิกายน 2526 โดยโจทก์ไม่มีความผิด จำเลยจึงต้องจ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีงบประมาณ 2527จำนวน 6 วัน ให้แก่โจทก์แต่ละคนตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 45
ค่าจ้างค้างจ่ายเป็นเงินที่นายจ้างมีหน้าที่ต้องจ่ายเมื่อถึงกำหนดวันจ่ายค่าจ้าง เมื่อโจทก์ฟ้องเรียกค่าครองชีพซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของค่าจ้างของเดือนพฤศจิกายน 2526 และมีคำขอให้จำเลยชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่2 พฤศจิกายน 2526 ซึ่งเป็นวันที่จำเลยยุบเลิกกิจการและเลิกจ้างจำเลยมิได้ให้การปฏิเสธ จึงต้องถือว่าจำเลยตกลงจ่ายค่าจ้างสำหรับเดือนพฤศจิกายนนั้นในวันเลิกจ้างดังกล่าวในฟ้อง เมื่อจำเลยไม่จ่ายจึงตกเป็นผู้ผิดนัดนับแต่วันเลิกจ้างเป็นต้นไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ทุกคนเป็นลูกจ้างของโรงงานประสอบซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจในสังกัดของจำเลย จำเลยได้จ่ายค่าครองชีพแก่โจทก์ทุกคนตั้งแต่ พ.ศ. 2523เป็นต้นมา โดยนำมารวมจ่ายเป็นค่าจ้างหรือเงินเดือน ต่อมาวันที่ 1 พฤศจิกายน 2526 คณะรัฐมนตรีมีมติให้เลิกกิจการโรงงานกระสอบ และได้เลิกจ้างโจทก์ทุกคนตั้งแต่วันที่ 2 พฤศจิกายน 2526 โดยได้จ่ายบำเหน็จตามข้อบังคับโรงงานกระสอบตามเอกสารท้ายคำฟ้องให้แก่โจทก์ แต่มิได้นำค่าครองชีพมาเป็นฐานคำนวณบำเหน็จให้โดยอ้างว่ามิใช่เงินเดือน ซึ่งเป็นการไม่ถูกต้อง เป็นเหตุให้เงินบำเหน็จของโจทก์ต้องขาดไป และเมื่อเลิกจ้างจำเลยได้จ่ายเงินเดือนเดือนพฤศจิกายน 2526 ซึ่งถือเป็นเงินเดือนที่โจทก์ทำงานอยู่อีก 1 เดือนกันสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าอีก 1 เดือนรวมเป็น 2 เดือนหรือ 2 งวดค่าจ้างโดยจำเลยมิได้นำเอาค่าครองชีพมารวมจ่ายให้ด้วย การเลิกจ้างนี้เป็นเหตุให้โจทก์ต้องสูญเสียสิทธิในการหยุดพักผ่อนประจำปีของปีงบประมาณ 2526 ซึ่งยังมิได้มีการใช้สิทธิ จำเลยจึงต้องจ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีให้อีกด้วย ขอให้บังคับจำเลยจ่ายเงินบำเหน็จค้างจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเงินเดือนของเดือนพฤศจิกายนค้างจ่ายและค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันเลิกกิจการและเลิกจ้างจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยให้การว่าตามข้อบังคับโรงงานกระสอบว่าด้วยกองทุนบำเหน็จเงินเดือนไม่รวมถึงเงินตอบแทนหรือประโยชน์อย่างอื่นจึงไม่รวมถึงค่าครองชีพด้วย ค่าครองชีพจึงไม่อาจนำมาคำนวณเป็นเงินบำเหน็จได้ โจทก์มีสิทธิรับบำเหน็จตามข้อ 11 ของข้อบังคับของจำเลยดังกล่าวมิใช่ข้อ 10 และจำเลยได้จ่ายเงินบำเหน็จให้เกินจำนวนที่ต่างมีสิทธิได้รับไปแล้ว สำหรับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์นั้น คำว่า สินจ้างไม่รวมวถึงค่าครองชีพด้วย เพราะค่าครองชีพเป็นเงินที่จ่ายโดยไม่มีลักษณะเป็นการตอบแทนการทำงาน ไม่อาจนำมาคำนวณเพื่อจ่ายเป็นสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าได้ส่วนวันหยุดพักผ่อนประจำปีนั้นโจทก์มีสิทธิหยุดตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2525 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2526 โดยไม่ต้องรอถึงวันที่ 1 ตุลาคม 2526 ถึงวันที่30 กันยายน 2527 ซึ่งเป็นปีงบประมาณ 2527 โจทก์มีสิทธิเก็บวันหยุดพักผ่อนประจำปี 2527 ได้ แต่ไม่มีสิทธิเบิกเงินค่าทดแทนได้ตามประกาศโรงงานทอกระสอบกระทรวงการคลัง เรื่อง การลาพักผ่อน โจทก์บางคนได้ลาหยุดพักผ่อนประจำปีมาแล้ว จึงต้องหักวันลาหยุดดังกล่าวออกไป ขอให้ยกฟ้อง

วันนัดพิจารณาโจทก์แถลงรับข้อเท็จจริงบางประการ ศาลแรงงานกลางให้งดสืบพยานทั้งสองฝ่าย

ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า ค่าครองชีพเป็นส่วนหนึ่งของค้าจ้างต้องนำมาคำนวณเป็นเงินบำเหน็จ จำเลยค้างชำระค่าครองชีพประจำเดือนพฤศจิกายน 2526และต้องนำค่าครองชีพมาคำนวณเป็นสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำเลยต้องจ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีจำนวนคนละ 6 วันแก่โจทก์พิพากษาให้จำเลยจ่ายเงินบำเหน็จ เงินค่าครองชีพเดือนพฤศจิกายน 2526 สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีแก่โจทก์แต่ละคนตามบัญชีท้ายคำพิพากษาพร้อมด้วยดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ

โจทก์ทั้งหนึ่งร้อยเอ็ดและจำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า จำเลยอุทธรณ์ว่าตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 10 มีความหมายว่า เมื่อลูกจ้างทำงานจนครบหนึ่งปีแล้วสิทธิในการหยุดพักผ่อนประจำปีก็เกิดขึ้นซึ่งย่อมใช้เฉพาะผู้ที่ทำงานในปีแรกเท่านั้น ส่วนโจทก์ทั้งหนึ่งร้อยเอ็ดทำงานเกินสามปีแล้วจำเลยก็ได้ใช้สิทธิหยุดพักผ่อนได้ทันทีโดยไม่ต้องทำงานจนครบหนึ่งปีอีกและต่างก็ได้ใช้สทิธิหยุดพักผ่อนไปแล้วตามบัญชีหมายเลข 4 ท้ายคำให้การเห็นว่า ตามข้อ 10 วรรคแรกของประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน นั้นได้กำหนดสิทธิของลูกจ้างว่า ถ้าได้ทำงานมาครบหนึ่งปีเต็มก็จะมีสิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีอย่างน้อยหกวันทำงาน และสิทธินี้เป็นสิทธิแต่ละปี เมื่อลูกจ้างทำงานครบปีแรกแล้ว ถ้าได้หยุดพักผ่อนประจำปีก็ถือว่าเป็นการหยุดพักผ่อนประจำปีของปีที่ผ่านมา และในปีต่อไปถือว่าลูกจ้างมีสิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีได้ทันทีโดยไม่จำต้องทำงานให้ครบอีก ดังนั้น เมื่อต่อมาวันที่ 2 พฤศจิกายน 2526 ได้มีการเลิกจ้าง โจทก์ที่ยังมิได้ใช้สิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีก็ย่อมมีสิทธิได้รับค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีตามข้อ 45 แห่งประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ปรากฏว่าโจทก์ได้ยอมรับว่า ในระหว่างเดือนตุลาคม 2525ถึงเดือนกันยายน 2526 โจทก์ได้หยุดพักผ่อนประจำปีตามเอกสารหมายเลข 4 ท้ายคำให้การ โจทก์แต่ละคนทำงานกับจำเลยเป็นเวลาเกิน 3 ปีแล้ว วันลาหยุดพักผ่อนประจำปีของโจทก์บางคนตามเอกสารหมายเลข 4 ท้ายคำให้การนั้นเห็นได้ว่าเป็นเรื่องโจทก์ได้ใช้สิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีงบประมาณ 2526 ส่วนวันหยุดพักผ่อนประจำปีงบประมาณ 2527 ซึ่งโจทก์มีสิทธิหยุดพักผ่อนตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2526 นั้นโจทก์ยังไม่ได้ใช้สิทธิ เมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์ในวันที่ 2 พฤศจิกายน 2526 โดยโจทก์ไม่มีความผิด จำเลยจึงต้องจ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีงบประมาณ 2527 จำนวน 6 วันให้แก่โจทก์แต่ละคนตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานข้อ 45

สำหรับอุทธรณ์ของโจทก์ว่าเมื่อจำเลยยุบเลิกกิจการโรงงานกระสอบและเลิกจ้างเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2526 จำเลยจึงต้องชำระดอกเบี้ยสำหรับค่าจ้างค้างจ่ายตั้งแต่วันยุบเลิกกิจการเป็นต้นไป พิเคราะห์แล้ว โจทก์ทั้งหนึ่งร้อยเอ็ดฟ้องและมีคำขอให้จำเลยชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 2 พฤศจิกายน 2526 ซึ่งเป็นวันที่จำเลยยุบเลิกกิจการและเลิกจ้าง เห็นว่า ค่าจ้างค้างจ่ายนั้นเป็นเงินที่นายจ้างมีหน้าที่ต้องจ่ายเมื่อถึงกำหนดวันจ่ายค่าจ้าง คดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกค่าครองชีพซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของค่าจ้างของเดือนพฤศจิกายน 2526และจำเลยมิได้ให้การปฏิเสธจึงต้องถือว่าจำเลยตกลงจ่ายค่าจ้างสำหรับเดือนพฤศจิกายนดังกล่าวในวันเลิกจ้างคือวันที่ 2 พฤศจิกายน 2526 เมื่อจำเลยไม่จ่ายจึงตกเป็นผู้ผิดนัดนับแต่วันเลิกจ้างเป็นต้นไป

พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยไม่ต้องจ่ายเงินบำเหน็จเพิ่มให้แก่โจทก์ทุกคนนอกจากโจทก์ที่ 32 คงให้จำเลยจ่ายเพิ่มให้อีกเป็นเงิน 2,454 บาท 15 สตางค์ให้จำเลยชำระดอกเบี้ยของเงินค่าครองชีพเดือนพฤศจิกายน 2526 ให้แก่โจทก์ทั้งหนึ่งร้อยเอ็ดนับตั้งแต่วันที่ 2 พฤศจิกายน 2526 เป็นต้นไป นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง

Share