คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 361/2532

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ผู้เสียหายเป็นหลานสะใภ้ของจำเลย ตอนเกิดเหตุเป็นเวลากลางวัน ผู้เสียหายยืนจับรถจักรยานเพื่อจะขี่ไปธุระ ได้เกิดทะเลาะโต้เถียงกับจำเลย แล้วปืนลูกซองยาวที่จำเลยถือลงมาจากบ้านได้ลั่นขึ้น 1 นัด กระสุนปืนถูกโคนต้นมะม่วงขวามือด้านหลังผู้เสียหาย ได้ความว่า ขณะนั้นจำเลยกับผู้เสียหายอยู่ห่างกันประมาณ 5 วา แม้ผู้เสียหายจะอ้างว่าจำเลยใช้ปืนยิงผู้เสียหาย ผู้เสียหายก็รับว่าขณะยิง จำเลยถือปืนด้วยมือทั้งสองข้างในลักษณะอยู่ข้างตัวระดับเอว มิได้ประทับเล็งยิงผู้เสียหาย แสดงว่าจำเลยยิงผู้เสียหายในระยะใกล้ด้วยปืนลูกซองยาว เช่นนี้หากจำเลยตั้งใจจะยิงก็ไม่น่าจะผิดพลาดปรากฏด้วยว่าจำเลยชอบใช้อาวุธปืนขู่เข็ญผู้อื่นเสมอ พฤติการณ์แห่งคดีจึงยังไม่แน่ใจว่าจำเลยใช้อาวุธปืนยิงโดยเจตนาฆ่าผู้เสียหายดังโจทก์ฟ้อง สมควรยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้เป็นผลดีแก่จำเลย.(ที่มา-ส่งเสริม)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานฆ่า พยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80 และสั่งริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา288, 80 จำคุก 10 ปี ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันฟังได้ในเบื้องต้นว่า นางเตือนจิต ประเสริฐเสีย ผู้เสียหายเป็นหลานสะใภ้ของจำเลย โดยจำเลยเป็นพี่นางบุญมามารดานายวัชรินทร์สามีผู้เสียหาย วันที่ 7 พฤษภาคม 2530 เวลา 13 นาฬิกาเศษผู้เสียหายกับจำเลยทะเลาะโต้เถียงกัน ขณะที่ผู้เสียหายยืนจับรถจักรยานเพื่อจะขี่ไปธุระปืนลูกซองยาวที่จำเลยถือลงมาจากบ้านลั่นขึ้น 1 นัด ถูกโคนต้นมะม่วงขวามือด้านหลังผู้เสียหาย หลังจากนั้นผู้เสียหายจึงนำความไปแจ้งต่อร้อยตำรวจเอกวิฑูรย์ ศิระเลิศพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองสุพรรณบุรี ร้อยตำรวจเอกวิฑูรย์ได้ออกมาตรวจที่เกิดเหตุ ทำแผนที่เกิดเหตุไว้ตามเอกสารหมายจ.3 และจับจำเลยมาดำเนินคดี มีปัญหาว่าจำเลยใช้ปืนยิงเจตนาฆ่าผู้เสียหายหรือไม่ ข้อนี้โจทก์นำสืบว่า ในการทะเลาะโต้เถียงกันดังกล่าว จำเลยว่าจำเลยต้องยิงผู้เสียหายกับพวกให้ตาย ผู้เสียหายว่าจะยิงก็ยิงให้ตาย ถ้าไม่ตายผู้เสียหายจะดำเนินคดี พูดแล้วผู้เสียหายเดินไปยืมรถจักรยานที่บ้านนายอาคมบุตรจำเลยซึ่งอยู่ใกล้กัน ส่วนจำเลยเดินขึ้นเรือน แล้วถือปืนลูกซองยาวลงมายืนที่ถนนหันปากกระบอกปืนมาทางผู้เสียหาย แล้วยิงผู้เสียหาย แต่ไม่ถูกก็พอดีนายอาคมมาแย่งปืนไปจากจำเลย
ส่วนจำเลยนำสืบว่า เมื่อผู้เสียหายท้าให้ยิง จำเลยโมโหเหวี่ยงปืนที่ถืออยู่ไป ปืนลั่นขึ้น 1 นัด โดยจำเลยไม่ตั้งใจยิง
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีนี้เหตุเกิดในเวลากลางวันขณะเกิดเหตุผู้เสียหายเบิกความว่าผู้เสียหายและจำเลยอยู่ห่างกันประมาณ 4 วา แสดงว่าจำเลยยิงผู้เสียหายในระยะใกล้ ปืนที่จำเลยใช้ยิงปรากฏว่าเป็นปืนลูกซองยาว หากจำเลยตั้งใจจะยิงผู้เสียหายก็ไม่น่าจะผิดพลาด ประกอบกับคดีได้ความจากคำเบิกความของผู้เสียหายว่า ขณะที่จำเลยใช้ปืนยิงผู้เสียหายนั้น จำเลยถือปืนในลักษณะอยู่ข้างตัวระดับเอวด้วยมือทั้งสองข้าง มิได้ความว่าจำเลยประทับปืนเล็งยิงผู้เสียหายแต่ประการใด ทั้งร่องรอยกระสุนปืนที่ไปถูกโคนต้นมะม่วง ปรากฏจากคำเบิกความของร้อยตำรวจเอกวิฑูรย์ศิระเลิศ พนักงานสอบสวนผู้ไปตรวจที่เกิดเหตุว่า สูงจากพื้นดินประมาณ1 ฟุต วิถีกระสุนในลักษณะเช่นนี้แม้จะยิงถูกก็ไม่ถูกอวัยวะสำคัญของผู้เสียหาย และคดียังได้ความจากผู้เสียหายต่อไปว่า จำเลยชอบใช้อาวุธปืนขู่เข็ญผู้อื่นเสมอ พฤติการณ์ตามรูปคดียังมีข้อน่าระแวงสงสัย ยังไม่แน่ใจว่าจำเลยใช้ปืนยิงเจตนาฆ่าผู้เสียหายดังฟ้องโจทก์ สมควรยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้เป็นผลดีแก่จำเลย ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยมาศาลฎีกายังไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

Share