แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยมีเครื่องชั่งที่ผิดอัตราเพื่อเอาเปรียบในการค้า และใช้เครื่องชั่งดังกล่าวในวันเวลาเดียวกันก็เท่ากับว่า จำเลยมีเจตนาอันเดียวกัน การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องใช้บทที่มีโทษหนักที่สุดลงโทษ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีเครื่องชั่งชนิดที่ ๖ เครื่องชั่งสปริง ซึ่งมีเข็มชี้อัตราน้ำหนักตามหน้าปัดและมีพิกัดกำลัง ๗ กิโลกรัม จำนวน ๑ เครื่อง ไว้ในความครอบครองของจำเลย ซึ่งเป็นเรื่องชั่งที่ผิดอัตราไม่ถูกต้องตามความประสงค์ทุกประการของพระราชบัญญัติมาตราชั่ง ตวง วัด พ.ศ. ๒๔๖๖ กล่าวคือก่อนทำการชั่งเข็มชี้เบนเลยศูนย์ไปทางน้ำหนักขาด ๓๐ กรัม เมื่อใช้ชั่งน้ำหนัก๑ กิโลกรัม น้ำหนักขาด ๑๐๐ กรัม และใช้ชั่งน้ำหนักมากขึ้น น้ำหนักก็ขาดมากขึ้นตามลำดับ ทั้งนี้จำเลยมีเครื่องชั่งดังกล่าวไว้เพื่อใช้ในกิจการต่อเนื่องกับผู้อื่น หรือในพาณิชยกิจของจำเลยและเพื่อใช้ชั่งขายสินค้าเพื่อเอาเปรียบในการค้า กับใช้เครื่องชั่งดังกล่าวทำการชั่งขายปลาสดที่ตลาดให้แก่ผู้ซื้อหลายคน ในกิจการค้าอันต่อเนื่องกับผู้อื่น และในการพาณิชยกิจของจำเลย โดยจำเลยรู้อยู่แล้วว่าเป็นเครื่องชั่งที่ผิดอัตราและเพื่อเอาเปรียบในการค้า เหตุเกิดที่แขวงวชิรพยาบาล เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติมาตราชั่ง ตวง วัด พ.ศ. ๒๔๖๖ มาตรา ๓๑, ๓๘ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๐, ๙๑ และริบของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติมาตรา ชั่งตวง วัด พ.ศ. ๒๔๖๖ มาตรา ๓๑, ๓๘ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๐, ๙๑การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๐ อันเป็นบทหนักจำคุก ๒ เดือน รับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามมาตรา ๗๘ คงจำคุก ๑ เดือน ริบของกลาง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่จำเลยมีและใช้เครื่องชั่งในวันเวลาเดียวกันก็เท่ากับว่าจำเลยมีเจตนาอันเดียวกัน การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทต้องใช้บทที่มีโทษหนักที่สุดลงโทษ
พิพากษายืน