แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่นายสมพรสามีโจทก์อนุญาตให้จำเลยปลูกบ้านทำรั้วเข้าไปในที่พิพาทเป็นเพียงการเอื้อเฟื้อจำเลยฉันพี่น้อง คงมีผลเพียงมิให้จำเลยต้องรับผิดฐานละเมิดเท่านั้นซึ่งความยินยอมนั้นเป็นเรื่องให้ประโยชน์แก่จำเลยฝ่ายเดียว โดยนายสมพรมิได้รับค่าตอบแทนใดๆ เลย ย่อมมีผลผูกพันนายสมพรตราบเท่าที่ความยินยอมนั้นยังคงอยู่ ที่เจ้าของที่พิพาทให้ความยินยอมเช่นนี้ ก็ย่อมจะยกเลิกเพิกถอนเสียเมื่อใดก็ได้ โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายสมพร ซึ่งเป็นผู้สืบสิทธิจากเจ้าของที่พิพาทฟ้องขอให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำ ย่อมถือได้ว่าเป็นการบอกเลิกความยินยอมอนุญาตให้จำเลยใช้ที่พิพาทแล้ว จำเลยจึงไม่มีสิทธิที่จะให้สิ่งปลูกสร้างคงอยู่ในที่พิพาทอีกต่อไป
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เดิมนายสมพรสามีโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๑๐๕๑๒เมื่อนายสมพรตาย โจทก์ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการมรดก นายสมพรตามคำสั่งศาล ต่อมาราวปี พ.ศ. ๒๕๑๘ จำเลยได้ปลูกบ้านและล้อมรั้วรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของนายสมพรดังกล่าวทางด้านตะวันออก โจทก์แจ้งให้จำเลยรื้อถอนออกไป จำเลยเพิกเฉย ขอให้ศาลบังคับ
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า เดิมจำเลยนายไตรวุฒิ พี่จำเลยและนายสมพรถือกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๗๕๐๓ ร่วมกัน ซึ่งทุกคนตกลงกันว่าที่ดินด้านติดถนนสุขุมวิท ซอย ๗๗ กว้าง ๓๖ เมตร แบ่งออกเป็น ๓ ส่วนแต่ละคนได้เท่ากัน แต่เมื่อทำการแบ่งโฉนดใหม่ จำเลยได้ที่ดินกว้างเพียง๑๐ เมตร ทำให้การก่อสร้างตึกแถวไม่เพียงพอ ในที่สุดนายสมพรยอมให้จำเลยปลูกสร้างบ้านล้ำเข้าไปในที่ดินของนายสมพรได้และสัญญาว่าจะไปจดทะเบียนภารจำยอมให้แก่จำเลย แต่นายสมพรตายเสียก่อน ขอให้ยกฟ้องและขอให้บังคับโจทก์ ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายสมพรไปจดทะเบียนภารจำยอมในที่พิพาทให้แก่จำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า นายสมพรมิได้ยินยอมให้จำเลยปลูกสร้างรุกล้ำ และไม่เคยสัญญาว่าจะจดทะเบียนสิทธิภารจำยอมให้จำเลย นายสมพรไม่เคยทำหนังสือให้ความยินยอมตามเอกสารท้ายคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์จดทะเบียนภารจำยอมในที่พิพาทแก่จำเลย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำและยกฟ้องแย้งจำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า นายสมพรอนุญาตให้จำเลยปลูกบ้านทำรั้วเข้าไปในที่พิพาท แล้ววินิจฉัยว่าการกระทำของนายสมพรเช่นนี้ เป็นเพียงการเอื้อเฟื้อจำเลยฉันพี่น้อง คงมีผลเพียงมิให้จำเลยต้องรับผิดฐานละเมิดเท่านั้น ซึ่งความยินยอมนั้นเป็นเรื่องให้ประโยชน์แก่จำเลยฝ่ายเดียว โดยนายสมพรมิได้รับค่าตอบแทนใด ๆ เลยย่อมมีผลผูกพันนายสมพรตราบเท่าที่ความยินยอมนั้นยังคงอยู่ ที่เจ้าของที่พิพาทให้ความยินยอมเช่นนี้ ก็ย่อมจะยกเพิกถอนความยินยอมเสียเมื่อใดก็ได้ โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายสมพร ซึ่งเป็นผู้สืบสิทธิจากเจ้าของที่พิพาทฟ้องขอให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำย่อม ถือได้ว่าเป็นการบอกเลิกความยินยอมอนุญาตให้จำเลยใช้ที่พิพาทแล้วจำเลยจึงไม่มีสิทธิที่จะให้สิ่งปลูกสร้างดังกล่าวคงอยู่ในที่พิพาทอีกต่อไป
พิพากษายืน