แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้รับมอบอำนาจของจำเลยที่ 1 ให้สัญญาไว้ต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองร้อยเอ็ดตามคำร้องขอรับรถยนต์ของกลางและรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีว่า จะนำรถยนต์ของกลางส่งพนักงานสอบสวนภายใน 15 วัน นับแต่วันที่พนักงานสอบสวนแจ้งให้ทราบเมื่อพนักงานสอบสวนแจ้งให้จำเลยส่งมอบรถยนต์ของกลางแล้ว จำเลยไม่ส่งมอบโจทก์ทั้งสองย่อมมีสิทธิฟ้องให้จำเลยทั้งสองปฏิบัติตามสัญญาได้ ไม่ว่าผู้ใดจะเป็นเจ้าของที่แท้จริงเพราะพนักงานสอบสวนจะต้องปฏิบัติไปตามขั้นตอนเรื่องการคืนของกลาง หาใช่เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตไม่ สารวัตรใหญ่เป็นพนักงานสอบสวนคนหนึ่ง และเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวน การมอบอำนาจให้กระทำต่อสารวัตรใหญ่ ย่อมกระทำต่อพนักงานสอบสวนได้เช่นเดียวกัน ดังนั้น เมื่อจำเลยที่ 1 มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 ขอรับรถยนต์ของกลางจากสารวัตรใหญ่ การที่จำเลยที่ 2ยื่นคำร้องต่อพนักงานสอบสวน จึงเป็นการกระทำภายในขอบอำนาจที่ได้รับมอบหมายและมีผลผูกพันจำเลยที่ 1 ด้วย เอกสารคำร้องขอรับรถยนต์ของกลางไปเก็บรักษา และรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีที่บันทึกการรับรถยนต์ของกลางคืน หาใช่สัญญาค้ำประกันอันเป็นตราสารที่ต้องปิดอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากรไม่ เอกสารทั้งสองฉบับดังกล่าวจึงไม่ต้องปิดอากรแสตมป์ การที่จำเลยที่ 1 มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 ไปขอรับรถยนต์จากพนักงานสอบสวนนั้น จำเลยที่ 2 ย่อมกระทำการใด ๆ เกี่ยวกับการขอรับรถยนต์ได้ด้วย เช่น ยื่นคำขอรับรถยนต์และเซ็นชื่อรับรถยนต์ไว้ การกระทำต่าง ๆ เหล่านี้ ย่อมเป็นการกระทำเกี่ยวกับเรื่องขอรับรถยนต์ทั้งสิ้น หาเป็นการกระทำเรื่องอื่น ๆ ต่างหากไม่จึงเป็นการมอบอำนาจให้กระทำการครั้งเดียว การปิดอากรแสตมป์5 บาท ของจำเลยชอบแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันส่งมอบรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ร.บ.17661 ในสภาพเช่นเดียวกับวันที่รับไปจากโจทก์คืนแก่โจทก์ ตามสัญญาที่จำเลยทั้งสองจะนำรถยนต์คันดังกล่าวไปเก็บรักษาให้อยู่ในสภาพเดิม หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติก็ให้ร่วมกันใช้ค่ารถยนต์ของกลางเป็นเงินจำนวน 300,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนถึงวันชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การเป็นใจความทำนองเดียวกันว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะรถยนต์ของกลางไม่ใช่เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ แต่เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 โจทก์จึงยังไม่ถูกโต้แย้งสิทธิ จำเลยที่ 1เพียงมอบให้จำเลยที่ 2 รับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ร.บ.17661เท่านั้น มิได้มอบอำนาจให้ทำสัญญารับผิดชดใช้ค่าเสียหายสำหรับรถยนต์ของกลางเป็นเงิน 300,000 บาท การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงไม่ผูกพันจำเลยที่ 1 ให้ต้องร่วมรับผิดด้วย จำเลยที่ 2 กระทำไปในฐานะที่ได้รับมอบอำนาจจากจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิด คำร้องเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3 พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองร้อยเอ็ดเป็นผู้ทำขึ้น แล้วให้จำเลยที่ 2 ลงชื่อโดยไม่ได้อ่านข้อความให้จำเลยที่ 2 ฟัง ทั้งมีลักษณะเป็นคำร้องฝ่ายเดียวไม่เป็นสัญญา โจทก์จะนำมาฟ้องจำเลยไม่ได้ โจทก์มีหน้าที่ต้องส่งมอบรถยนต์ของกลางแก่เจ้าของที่แท้จริง เมื่อจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของที่แท้จริง โจทก์จึงไม่จำต้องเรียกให้จำเลยทั้งสองส่งมอบให้แก่โจทก์อีก รถยนต์ของกลางมีราคาไม่เกิน 150,000 บาท และเสื่อมสภาพไปมีราคาไม่ถึง 100,000 บาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันส่งมอบรถยนต์หมายเลขทะเบียน ร.บ.17661 ในสภาพเดียวกับวันที่รับไปจากโจทก์ให้แก่โจทก์ หากไม่สามารถส่งมอบได้ ให้ร่วมกันใช้ค่าเสียหายจำนวน300,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนถึงวันชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่าในชั้นสอบสวนคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 382/2526 ของศาลชั้นต้นจำเลยที่ 1 มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 ขอรับรถยนต์ของกลางคืนจากสารวัตรใหญ่สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองร้อยเอ็ดเพื่อนำไปดูแลรักษาตามเอกสารหมาย จ.2 จำเลยที่ 2 ได้ยื่นคำร้องต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองร้อยเอ็ดเพื่อขอรับรถยนต์ของกลางไปดูแลรักษาจนกว่าคดีจะถึงที่สุดตามเอกสารหมาย จ.4 พนักงานสอบสวนได้มอบรถยนต์ของกลางให้จำเลยที่ 2 รับไปดูแลรักษาแล้วตามบันทึกรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดี เอกสารหมาย จ.5 ต่อมาเมื่อคดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว สารวัตรใหญ่สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองร้อยเอ็ดได้แจ้งให้จำเลยทั้งสองนำรถยนต์ของกลางส่งมอบต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองร้อยเอ็ด แต่จำเลยทั้งสองไม่นำรถยนต์ของกลางมอบให้แก่พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองร้อยเอ็ดคดีมีปัญหามาสู่ศาลฎีกาดังต่อไปนี้
ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เห็นว่าจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้รับมอบอำนาจของจำเลยที่ 1 ให้สัญญาไว้ต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองร้อยเอ็ดตามคำร้องขอรับรถยนต์ของกลางและรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีว่า จะนำรถยนต์ของกลางส่งพนักงานสอบสวนภายใน 15 วัน นับแต่วันที่พนักงานสอบสวนแจ้งให้ทราบเมื่อพนักงานสอบสวนแจ้งให้จำเลยส่งมอบรถยนต์ของกลางแก่พนักงานสอบสวนแล้ว จำเลยไม่ส่งมอบ โจทก์ทั้งสองย่อมมีสิทธิฟ้องให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาได้ ไม่ว่าผู้ใดจะเป็นเจ้าของที่แท้จริง เพราะพนักงานสอบสวนจะต้องปฏิบัติไปตามขั้นตอนเรื่องการคืนของกลาง หาใช่เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตไม่
ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2ขอรับรถยนต์ของกลางจากสารวัตรใหญ่สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองร้อยเอ็ดแต่จำเลยที่ 2 ขอรับรถยนต์ของกลางจากพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองร้อยเอ็ดโดยจำเลยที่ 1 ไม่ได้มอบอำนาจให้กระทำย่อมไม่ผูกพันจำเลยที่ 1 นั้น เห็นว่า สารวัตรใหญ่เป็นพนักงานสอบสวนคนหนึ่งและเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวน การมอบอำนาจให้กระทำต่อสารวัตรใหญ่ ย่อมกระทำต่อพนักงานสอบสวนได้เช่นเดียวกัน การที่จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องต่อพนักงานสอบสวนจึงเป็นการกระทำภายในขอบอำนาจที่ได้รับมอบหมายและผูกพันจำเลยที่ 1 ด้วย
ส่วนที่จำเลยที่ 1 ฎีกาข้อต่อไปว่า เอกสารหมาย จ.4 และ จ.5มีลักษณะเป็นสัญญาค้ำประกัน แต่มิได้ปิดอากรแสตมป์ให้สมบูรณ์รับฟังเป็นพยานไม่ได้นั้น เห็นว่า เอกสารหมาย จ.4 เป็นคำร้องขอรับรถยนต์ของกลางไปเก็บรักษา ส่วนเอกสารหมาย จ.5 เป็นรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีที่บันทึกการรับรถยนต์ของกลางคืน หาใช่สัญญาค้ำประกันอันเป็นตราสารที่ต้องปิดอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากรไม่ จึงไม่ต้องปิดอากรแสตมป์ตามกฎหมาย
จำเลยที่ 1 ฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า จำเลยที่ 1 มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 ไปกระทำการครั้งเดียว คือมอบอำนาจให้ขอรับรถยนต์คืนเท่านั้นจึงได้ปิดอากรแสตมป์เพียง 5 บาท แต่จำเลยที่ 2 ไปทำการหลายครั้งเท่ากับเป็นการมอบอำนาจทั่วไปต้องปิดอากรแสตมป์ 10 บาทใบมอบอำนาจดังกล่าวจึงปิดอากรแสตมป์ไม่สมบูรณ์ รับฟังเป็นพยานไม่ได้นั้น เห็นว่า การที่จำเลยที่ 1 มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 ไปขอรับรถยนต์จากพนักงานสอบสวนนั้น จำเลยที่ 2 ย่อมกระทำการใด ๆ เกี่ยวกับการขอรับรถยนต์ได้ด้วย เช่น ยื่นคำขอรับรถยนต์และเซ็นรับรถยนต์ไว้การกระทำต่าง ๆ เหล่านั้นย่อมเป็นการกระทำเกี่ยวกับเรื่องขอรับรถยนต์ทั้งสิ้น หาเป็นการกระทำเรื่องอื่น ๆ ต่างหากไม่ การกระทำที่จำเลยที่ 2 ได้กระทำไปเพื่อรับรถยนต์จึงเป็นการกระทำการครั้งเดียว
พิพากษายืน