แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
เมื่อจำเลยที่ 3 ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งไม่รับอุทธรณ์ จำเลยที่ 3 มีหน้าที่ต้องนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาล ซึ่งเป็นกรณีที่จำเลยที่ 3 ต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 โดยจะนำวิธีการขอทุเลาการบังคับดังเช่นการยื่นอุทธรณ์คำพิพากษามาใช้บังคับเพื่อให้มีผลว่าจำเลยที่ 3 ไม่ต้องนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลไม่ได้ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 เป็นบทบังคับในกรณีที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์ของผู้อุทธรณ์ทั้งหมดแล้วผู้อุทธรณ์ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งนั้น ผู้อุทธรณ์จึงต้องนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาล แต่ถ้าศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 3 ไว้บางข้อและไม่รับอุทธรณ์บางข้อ กรณีก็ไม่ต้องด้วยบทกฎหมายดังกล่าว จำเลยที่ 3 จึงยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นได้ โดยไม่จำต้องนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาล
ย่อยาว
คดีนี้สืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้จำเลยที่ 3 ขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินของโจทก์ ห้ามเกี่ยวข้องอีกต่อไป ให้จำเลยที่ 3 ชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ 12,133.21 บาท กับค่าเสียหายปีละ 18,200 บาทนับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะออกจากที่ดินของโจทก์ ให้จำเลยที่ 3 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 2,000 บาทและให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยที่ 1 และที่ 2 โดยกำหนดค่าทนายความให้ 2,000 บาท
จำเลยที่ 3 อุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นสั่งอุทธรณ์ของจำเลยที่ 3 ว่า โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งในขณะยื่นฟ้องอาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละสองพันบาทจึงต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง อุทธรณ์ของจำเลยที่ 3 ข้อ 2(2) ข. เป็นปัญหาว่าจำเลยที่ 3 เป็นผู้เช่านาหรือไม่เป็นปัญหาข้อเท็จจริงเช่นเดียวกับอุทธรณ์ในข้อ 2(3) และ (4)ซึ่งโต้แย้งคัดค้านดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ข้อ 2(1) เป็นปัญหาข้อกฎหมาย แต่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย จึงไม่รับอุทธรณ์ในข้อดังกล่าว คงรับอุทธรณ์ ข้อ 2(2) ก
จำเลยที่ 3 อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่าจำเลยที่ 3 ไม่นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันมาวางศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 ก่อน จึงให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 ฎีกาคำสั่งของศาลอุทธรณ์
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาที่จะวินิจฉัยต่อไปว่า คำสั่งของศาลอุทธรณ์ที่ให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 3นั้นชอบหรือไม่ ที่จำเลยที่ 3 ฎีกา ในปัญหานี้ว่า จำเลยที่ 3 ได้ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้น โดยได้ยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับระหว่างอุทธรณ์มาด้วยแล้ว เมื่อจำเลยที่ 3 ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งไม่รับอุทธรณ์ จำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลนั้นศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อจำเลยที่ 3 ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งไม่รับอุทธรณ์ จำเลยที่ 3 มีหน้าที่ต้องนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลหรือไม่ เป็นกรณีที่จำเลยที่ 3 ต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 234 โดยจะนำวิธีการขอทุเลาการบังคับดังเช่นการยื่นอุทธรณ์คำพิพากษามาใช้บังคับเพื่อให้มีผลว่าจำเลยที่ 3 ไม่ต้องนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลไม่ได้ฎีกาของจำเลยที่ 3 ในปัญหานี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน แต่เนื่องจากมาตรา 234ดังกล่าวที่บัญญัติว่า “ถ้าศาลชั้นต้นไม่รับอุทธรณ์ ผู้อุทธรณ์อาจอุทธรณ์คำสั่งศาลนั้นไปยังศาลอุทธรณ์ โดยยื่นคำขอเป็นคำร้องขอต่อศาลชั้นต้น ฯลฯ และนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาล ฯลฯ” นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าเป็นบทบังคับในกรณีที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์ของผู้อุทธรณ์ทั้งหมดแล้วผู้อุทธรณ์ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งนั้น ผู้อุทธรณ์จึงต้องนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาล แต่คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 3 ไว้บางข้อและไม่รับอุทธรณ์บางข้อกรณีไม่ต้องด้วยบทกฎหมายดังกล่าวจำเลยที่ 3 จึงยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นได้ โดยไม่จำต้องนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาล ซึ่งแม้ปัญหานี้จำเลยที่ 3 ไม่ได้ยกขึ้นอ้างอิงในชั้นฎีกา แต่ก็เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนที่ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 3โดยไม่รับพิจารณาคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยที่ 3 ดังกล่าวศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย”
พิพากษายกคำสั่งของศาลอุทธรณ์ ให้ศาลอุทธรณ์รับคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 3 ไว้พิจารณา และมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี