คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 322/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้เงินกู้ให้โจทก์ภายในอายุความ อายุความฟ้องเรียกเงินกู้สะดุดหยุดลงต้องเริ่มนับอายุความกันใหม่ตั้งแต่วันสิ้นกำหนดเวลาที่จำเลยทำสัญญาว่าจะนำเงินมาชำระหนี้โจทก์ เมื่อหนี้เงินต้นยังไม่ขาดอายุความ โจทก์ผู้รับจำนองจึงมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยที่ค้างชำระเกินกว่า 5 ปีได้ ไม่ต้องห้ามตาม ป.พ.พ. มาตรา 189

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกู้เงินโจทก์ ๒ ครั้ง คือเมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๑๗จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท ดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปี ชำระดอกเบี้ยทุกเดือน และได้จำนองที่ดินโฉนดเลขที่ ๕๓๙๓ พร้อมตึกแถวของจำเลยเป็นประกัน ต่อมาวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๒๑ จำเลยได้ทำสัญญาเพิ่มเงินกู้และจำนองอีก ๑๘๐,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงินกู้ ๒๘๐,๐๐๐ บาท จำเลยไม่ชำระเงินต้นและดอกเบี้ยคิดถึงวันที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๒๗ รวมเป็นเงินกู้และดอกเบี้ยค้างชำระ ๕๙๒,๑๔๑.๖๖ บาทต่อมาวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๒๗ จำเลยได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้โจทก์ไว้ สัญญาว่าจะชำระหนี้ทั้งหมดภายในวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๒๘ ถึงกำหนดจำเลยไม่ชำระ รวมเป็นดอกเบี้ยนับจากวันรับสภาพหนี้ถึงวันฟ้องเป็นเงิน ๑๐๔,๗๖๖.๖๖ บาท ให้จำเลยชำระหนี้รวม ๖๙๖,๙๐๘.๓๒ บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๒๘๐,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จมิฉะนั้นให้บังคับจำนอง
จำเลยให้การว่า ได้ทำสัญญากู้และจำนองจริง แต่โจทก์เรียกดอกเบี้ยเกิน๕ ปี ต้องห้ามตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๘๙ ดอกเบี้ยตกเป็นโมฆะ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ให้จำเลยใช้เงินต้น ๒๘๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๒๑ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระให้บังคับจำนองเอาที่ดินและตึกแถวที่จำนองขายทอดตลาดชำระหนี้โจทก์จนกว่าจะครบ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๒๑ เป็นต้นไปหรือไม่ ฟังได้ว่าจำเลยกู้เงินโจทก์ ๒ ครั้ง ครั้งแรกเมื่อวันที่๑๒ กันยายน ๒๕๑๗ จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท ครั้งหลังวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๒๑ จำนวน๑๘๐,๐๐๐ บาท โดยจำนองที่ดินและตึกแถวไว้เป็นประกัน กำหนดไถ่ถอนแต่ละรายภายใน ๑ ปีดังนี้ โจทก์มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้เงินกู้แต่ละรายตั้งแต่วันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๑๘และวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๒๒ ตามลำดับ อายุความเรียกเงินกู้มีกำหนดเวลา ๑๐ ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๔ โจทก์จึงต้องใช้สิทธิฟ้องเรียกเงินกู้ภายในวันที่ ๑๒กันยายน ๒๕๒๘ และ ๙ สิงหาคม ๒๕๓๒ ตามลำดับ แต่ปรากฏว่าเมื่อวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๒๗จำเลยได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ทั้งสองจำนวนนี้ไว้ภายในอายุความ มีผลให้อายุความฟ้องเรียกเงินกู้ทั้งสองจำนวนสะดุดหยุดลง ต้องเริ่มนับอายุความกันใหม่ตั้งแต่เวลาเมื่อเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงสิ้นสุดไป คือวันสิ้นกำหนดเวลาที่จำเลยสัญญาว่าจะนำเงินมาชำระหนี้ ซึ่งจำเลยสัญญาว่าจะนำเงินมาชำระหนี้ให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๒๘ จึงถือว่าเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงได้สิ้นสุดลงในวันดังกล่าวต้องนับอายุความ ๑๐ ปีใหม่ ตั้งแต่วันนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๘๑ วรรคสอง ฉะนั้นอายุความ ๑๐ ปี จึงครบกำหนดในวันที่ ๑๒ กันยายน๒๕๓๘ โจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๐ จึงยังไม่ขาดอายุความ กรณีไม่ต้องด้วยบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๘๙ ซึ่งเป็นเรื่องสิทธิเรียกร้องตามมูลหนี้เดิมขาดอายุความแล้ว เป็นเหตุให้ไม่อาจใช้สิทธิฟ้องเรียกชำระหนี้ได้ แต่เจ้าหนี้ยังมีสิทธิฟ้องบังคับเอาจากทรัพย์สินที่รับจำนองได้ ซึ่งในกรณีเช่นนั้นกฎหมายห้ามมิให้เรียกดอกเบี้ยค้างชำระเกินกว่า ๕ ปี…”
พิพากษายืน.

Share