คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5735/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ข้อเท็จจริงอันเป็นประเด็นอยู่ในเอกสารที่โจทก์และจำเลยอ้างเป็นพยานคือเอกสารในคดีอื่นซึ่งโจทก์จำเลยส่งสำเนาเอกสารดังกล่าวต่อศาลชั้นต้นแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องนำสำนวนคดีดังกล่าวมาผูกติดกับสำนวนคดีนี้ และเมื่อเห็นว่าพยานเอกสารดังกล่าวเพียงพอแก่การวินิจฉัยคดีแล้ว ศาลชั้นต้นมีอำนาจใช้ดุลพินิจสั่งให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยได้
เงินมัดจำ 500,000 บาท ที่โจทก์ชำระให้จำเลยซึ่งเป็นราคาที่ดินส่วนหนึ่งอันจะนำไปสู่การทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในศาล โดยมีข้อตกลงกันว่าก่อนทำสัญญาประนีประนอมยอมความต้องดำเนินการรังวัดแบ่งแยกโฉนดที่ดินนั้น เมื่อโจทก์จำเลยยังไม่ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โจทก์หรือจำเลยย่อมมีสิทธิยกเลิกข้อตกลงเบื้องต้นที่กระทำกันมาแล้วเสียได้ และจะถือว่าข้อตกลงนั้นเป็นสัญญาจะซื้อจะขายหาได้ไม่ แม้จะมีการชำระเงินมัดจำกันแล้วก็ตาม โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกเงินมัดจำดังกล่าวคืนได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 378 (1) และถือไม่ได้ว่าเป็นการเลิกสัญญา ซึ่งต้องให้คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายกลับคืนสู่ฐานะเดิมตามมาตรา 391 หรือเป็นเรื่องลาภมิควรได้ตามมาตรา 406 การเรียกเงินมัดจำคืนดังกล่าวไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้เป็นอย่างอื่น จึงมีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 ส่วนดอกเบี้ยในเงินค่ามัดจำดังกล่าวนั้นเมื่อกรณีไม่ใช่การเลิกสัญญาตามมาตรา 391 จึงไม่ตกอยู่ในบังคับของมาตรา 391 วรรคสอง เมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าโจทก์ทวงถามเมื่อใด จึงถือว่าจำเลยเป็นผู้ผิดนัดตั้งแต่วันฟ้อง ต้องชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เดิมคดีก่อนจำเลยเป็นโจทก์ฟ้องโจทก์เป็นจำเลย ขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาท ในระหว่างพิจารณาดังกล่าวโจทก์จำเลยตกลงกันว่า โจทก์จะซื้อที่ดินพิพาทบางส่วนโจทก์ได้ชำระราคาที่ดินให้แก่จำเลยแล้ว ต่อมาจำเลยไม่สามารถโอนที่ดินให้แก่โจทก์ได้ เพราะจำนวนเนื้อที่ดินไม่ครบตามที่ตกลงกัน ในที่สุดตกลงกันไม่ได้ ศาลสอบคู่ความแล้วมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์จำเลย แล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์และยกฟ้องแย้งของจำเลย โดยวินิจฉัยว่า ข้อตกลงระหว่างโจทก์จำเลยดังกล่าวมีผลเป็นสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินที่มีหลักฐานเป็นหนังสือโดยมีการวางมัดจำเป็นเงิน๕๐๐,๐๐๐ บาท มีผลบังคับกันได้ คู่ความชอบที่จะไปดำเนินคดีกันใหม่เกี่ยวกับสัญญาจะซื้อจะขายโจทก์อุทธรณ์และฎีกา ศาลฎีกาพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาตามคำฟ้องโจทก์และคำให้การจำเลย แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี เมื่อข้อตกลงถูกยกเลิกคู่สัญญาย่อมกลับคืนสู่ฐานะเดิม จำเลยต้องคืนเงินมัดจำให้โจทก์ โจทก์ทวงถามแล้วจำเลยเพิกเฉย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้จำเลยชำระค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า การที่ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อตกลงระหว่างโจทก์จำเลยไม่มีผลเป็นสัญญาจะซื้อจะขาย และโจทก์จำเลยยังมิได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน เงินจำนวน๕๐๐,๐๐๐ บาท ที่จำเลยรับไว้จากโจทก์จึงปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ มีลักษณะเป็นลาภมิควรได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๐๖ โจทก์รู้ว่าโจทก์มีสิทธิเรียกเงินดังกล่าวคืนจากจำเลยตั้งแต่วันที่ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาเกินกว่าหนึ่งปีแล้ว คดีของโจทก์จึงขาดอายุความจำเลยรับเงินดังกล่าวไว้โดยสุจริต โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยได้ หากจะเรียกได้ก็เรียกได้ไม่เกินอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันผิดนัด แต่โจทก์ไม่เคยทวงถามจำเลย จำเลยจึงยังไม่ผิดนัด
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน ๕๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงอันเป็นประเด็นอยู่ในเอกสารที่โจทก์และจำเลยอ้างเป็นพยานคือเอกสารในสำนวนคดีหมายเลขดำที่ ๙๕/๒๕๒๓ หมายเลขแดงที่ ๒๐๘/๒๕๒๔ของศาลชั้นต้น ซึ่งโจทก์ได้ขอคัดโดยถ่ายสำเนาส่งตามที่ต้องการตามคำสั่งศาลชั้นต้นแล้ว และเอกสารที่จำเลยอ้างเป็นพยาน จำเลยก็ได้คัดโดยถ่ายสำเนาส่งไว้แล้วเช่นเดียวกัน จึงไม่จำเป็นที่จะต้องนำสำนวนคดีดังกล่าวมาผูกติดกับสำนวนคดีนี้ พยานเอกสารดังกล่าวเพียงพอแก่การวินิจฉัยคดีได้แล้ว ศาลชั้นต้นมีอำนาจใช้ดุลพินิจที่จะมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์และพยานจำเลยได้จึงเป็นคำสั่งที่ชอบแล้ว ข้อตกลงในคดีก่อนที่จำเลยเป็นโจทก์ฟ้องโจทก์เป็นจำเลยว่าโจทก์จะซื้อที่ดินพิพาทบางส่วนโดยโจทก์ชำระเงินมัดจำให้แก่จำเลยดังกล่าวเกิดขึ้นจากโจทก์ จำเลยมีเจตนาที่จะประนีประนอมยอมความเพื่อระงับข้อพิพาทที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินของโจทก์และการประนีประนอมยอมความยังหายุติลงไม่ เพราะยังต้องดำเนินการรังวัดแบ่งแยกโฉนดที่ดินกันอยู่อีก เมื่อแบ่งแยกโฉนดที่ดินเสร็จแล้วจึงจะมีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความและให้ศาลมีคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ฉะนั้นการที่โจทก์และจำเลยยังมิได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันเช่นนี้ จึงยังถือไม่ได้ว่าโจทก์และจำเลยได้ตกลงประนีประนอมยอมความกันแล้วเสร็จ โจทก์หรือจำเลยย่อมมีสิทธิยกเลิกข้อตกลงเบื้องต้นที่ได้กระทำกันมาแล้วเสียได้ และจะถือเอาข้อตกลงนั้นว่ามีผลเป็นสัญญาจะซื้อจะขายหาได้ไม่ ถึงแม้จะได้มีการชำระเงินมัดจำกันแล้วก็ตาม จำเลยก็ย่อมมีสิทธิให้โจทก์คืนเงินมัดจำให้จำเลยได้เช่นกัน เมื่อจำเลยได้ยกเลิกข้อตกลง โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกเงินมัดจำนวน ๕๐๐,๐๐๐ บาท ที่ชำระให้แก่จำเลยไว้คืนได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๗๘ (๑) และมิใช่เป็นกรณีเลิกสัญญาแล้วคู่สัญญาต้องให้อีกฝ่ายได้กลับคืนสู่ฐานะเดิมตามมาตรา ๓๙๑ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย และก็มิใช่เป็นกรณีเรื่องลาภมิควรได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๔๐๖ การที่โจทก์ฟ้องเรียกเงินมัดจำคืนจากจำเลยไม่ใช่เป็นกรณีฟ้องเรียกคืนฐานลาภมิควรได้ จึงไม่ตกอยู่ภายใต้บังคับตามมาตรา ๔๑๙ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งจำต้องฟ้องภายในกำหนดอายุความ ๑ ปี แต่กรณีเรื่องที่โจทก์ฟ้องเรียกเอาเงินมัดจำคืนไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้เป็นอย่างอื่นจึงฟ้องได้ภายในกำหนด ๑๐ ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๖๔ ฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความ คดีนี้เป็นกรณีที่โจทก์ฟ้องเรียกเงินมัดจำคืน ซึ่งไม่ใช่เป็นกรณีเลิกสัญญาตามมาตรา ๓๙๑ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ การชำระดอกเบี้ยจึงไม่ตกอยู่ภายใต้บังคับของมาตรา ๓๙๑ วรรคสอง ก่อนฟ้องคดีนี้ไม่อาจทราบได้ว่าจำเลยผิดนัดเมื่อใด แต่ตามพฤติการณ์แห่งคดีฟังได้ว่าโจทก์ได้ทวงถามจำเลยให้คืนเงินแล้ว ถือได้ว่าจำเลยทราบว่าโจทก์ทวงถามตั้งแต่วันฟ้อง และถือว่าจำเลยตกเป็นผู้ผิดนัดตั้งแต่วันฟ้อง (วันที่ ๗ กรกฎาคม๒๕๒๙) จำเลยจึงต้องชำระดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๒๔
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระค่าดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้อง (วันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๒๙) เป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share