แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
พฤติการณ์ที่ พ. พาโจทก์ไปมอบตัวตามโรงเรียนต่าง ๆ เหมือนบิดากับบุตรโดยทั่วไปได้ปฏิบัติกัน และปฏิบัติต่อโจทก์อย่างโจทก์เป็นบุตรของตนเช่นนี้ถือได้ว่า พ. ได้รับรองโจทก์ซึ่งเป็นบุตรนอกกฎหมายว่าเป็นบุตรของตนตาม ป.พ.พ. มาตรา 1627 พ.ร.บ. ให้ใช้บทบัญญัติ บรรพ 5ฯ มาตรา 4 บัญญัติว่า บทบัญญัติบรรพ 5 แห่ง ป.พ.พ. ที่ได้ตรวจชำระใหม่ไม่กระทบกระเทือนถึงบทบัญญัติมาตรา 4 และ มาตรา 5 แห่ง พ.ร.บ. ให้ใช้บรรพ 5 แห่งป.พ.พ. พุทธศักราช 2477 ดังนั้นการแบ่งสินสมรสของ พ. กับนาง ฉ. ซึ่งสมรสกันก่อนวันใช้ ป.พ.พ. บรรพ 5 เดิมจึงต้องแบ่งตามกฎหมายลักษณะผัวเมีย บทที่ 68 หาใช่แบ่งให้คนละส่วนเท่ากันตามมาตรา 1533 ไม่ ไม่ปรากฏว่า พ.กับนางฉ. มีสินเดิมจึงต้องฟังว่าทั้งสองฝ่ายต่างไม่มีสินเดิมด้วยกัน เมื่อ พ.ถึงแก่กรรม สินสมรสต้องแบ่งเป็นสามส่วนโดยเป็นของ พ. สองส่วนอีกส่วนหนึ่งเป็นของ นาง ฉ. โจทก์ฟ้องจำเลยขอแบ่งทรัพย์มรดกจากจำเลยซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของ พ. จำเลยตกอยู่ ในฐานะผู้ครอบครองมรดกแทนทายาททั้งหลายดังนี้จำเลยไม่อาจจะยกอายุความตาม ป.พ.พ. มาตรา 1754 ขึ้นต่อสู้โจทก์ได้.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เดิมโจทก์มีชื่อว่า “ทักษิณ” เป็นบุตรของนาวาเอกหลวงพินิจกลไกกับนางบุญชู สุวรรณสโรช โดยคนทั้งสองมิได้จดทะเบียนสมรสกัน แต่นาวาเอกหลวงพินิจกลไกได้รับรองว่าโจทก์เป็นบุตรของนาวาเอกหลวงพินิจกลไก เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2521นาวาเอกหลวงพินิจกลไกถึงแก่กรรมมีทายาทผู้มีสิทธิรับมรดก 6 คนคือ จำเลยซึ่งเป็นผู้จัดการมรดก นายสุรินทร์ สุวรรณสโรช นายอนุวัตรสุวรรณสโรช นายสาโรจน์ สุวรรณสโรช นางสุทธา (ไม่ได้ระบุนามสกุล)และโจทก์ เดมที่ดินโฉนดเลขที่ 2780 ตำบลสามเสนใน อำเภอดุสิตกรุงเทพมหานคร เนื้อที่ 1 ไร่ 2 งาน 96.7 ตารางวา เป็นสินสมรสระหว่างนาวาเอกหลวงพินิจกลไกกับนางเฉลิม สุวรรณสโรชต่อมาที่ดินดังกล่าวได้แบ่งแยกเป็นแปลงย่อย 36 โฉนด บางแปลงได้ปลูกสร้างตึกแถวและสิ่งปลูกสร้างขึ้นก่อนนาวาเอกหลวงพินิจกลไกถึงแก่กรรมที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวได้โอนไปเป็นกรรมสิทธิ์ของนางจำปีชัยเฉลิมพลกับพวก นางเฉลิม สุวรรณสโรช ได้ยื่นฟ้องนางจำปีกับพวกขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินตามโฉนดดังกล่าวคดีถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษาให้เพิกถอนการโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 66695 ถึง 66702,66689, 66691 ถึง 66693 และ 2780 ที่โอนไปเป็นของนางจำปีทั้งหมดกับให้เพิกถอนการโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 91701, 91705, 91709, 61363,61369 และ 91708 เฉพาะส่วนที่โอนไปเป็นของนางจำปีรวม 19 โฉนดคิดเป็นเงิน 3,638,000 บาท ที่ดินดังกล่าวจึงเป็นส่วนของนางเฉลิมเสียหนึ่งในสาม คิดเป็นเงิน 1,212,666 บาท ส่วนที่เหลือคิดเป็นเงิน2,425,334 บาทจึงเป็นกองมรดกของนาวาเอกหลวงพินิจกลไก ซึ่งโจทก์มีสิทธิจะได้รับหนึ่งในหกส่วน คิดเป็นเงิน 404,223.33 บาทที่ดินและสิ่งปลูกสร้างอันเป็นมรดกรายนี้ได้ให้บุคคลอื่นเช่าสามารถเก็ค่าเช่าได้เดือนละ 20,000 บาท โจทก์จึงมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งเป็นรายเดือนหนึ่งในหกส่วนด้วย ขอให้บังคับจำเลยแบ่งโอนโฉนดที่ดินในกองมรดกของนาวาเอกหลวงพินิจกลไกให้แก่โจทก์หนึ่งในหกส่วน หากจำเลยไม่แบ่งให้โจทก์ก็ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย หากแบ่งไม่ได้ก็ให้จำเลยใช้เงินจำนวน 404,223.33 บาทกับแบ่งรายได้จากค่าเช่าทรัพย์มรดกของนาวาเอกหลวงพินิจกลไกให้แก่โจทก์ หนึ่งในหกส่วนของค่าเช่าทุก ๆ เดือน นับแต่วันฟัองเป็นต้นไป
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่ใช่บุตรของนาวาเอกหลวงพินิจกลไกหลักฐานที่โจทก์นำมาอ้างว่านาวาเอกหลวงพินิจกลไกได้รับรองโจทก์ว่าเป็นบุตรไม่ได้แสดงชัดแจ้งว่าโจทก์เป็นบุตร เพราะขณะนาวาเอกหลวงพินิจกลไกมีชีวิตอยู่ได้นำเด็กกำพร้ามาเลี้ยงดูให้การอุปการะหลายคน ที่ดินพิพาทตามฟ้องเป็นสินสมรสของนางเฉลิม สุวรรณสโรชและนาวาเอกหลวงพินิจกลไก ทรัพย์ที่ศาลฎีกาพิพากษาให้เพิกถอนการโอนนั้นตกเป็นกองมรดกของนาวาเอกหลวงพินิจกลไกและนางเฉลิมคนละกึ่งหนึ่ง สินสมรสของนางเฉลิมจึงมิใช่มีเพียงหนึ่งในสามส่วนตามฟ้อง ขณะนาวาเอกหลวงพินิจกลไกถึงแก่กรรมมีทายาททั้งหมด 6 คนหากโจทก์มีสิทธิได้รับก็เพียงหนึ่งในเจ็ดส่วนคิดเป็นเงินเพียง259,857 บาทเศษ ส่วนทรัพย์สินอันเป็นมรดกที่ให้ผู้อื่นเช่าคงมีรายได้ประมาณเดือนละ 10,000 บาท หักค่าใช้จ่ายแล้วมีรายได้ไม่ถึงเดือนละ 20,000 บาทตามฟ้องอย่างไรก็ตาม หากจะฟังว่าโจทก์เป็นทายาทของนาวาเอกหลวงพพินิจกลไำ โจทก์ก็ถูกกำจัดสิทธิในการรับมรดก เพราะโจทก์สมคบกับนางจำปี ชัยเฉลิมพลหรือสุวรรณสโรชและพวกทุจริตโอนที่ดินพิพาทซึ่งเป็นมรดกทั้งหมดให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนางจำปีกับพวก เป็นเหตุให้เสื่อมประโยชน์แก่จำเลยและทายาทอื่นโจทก์ฟ้องคดีนี้เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต เพราะโจทก์ทราบดีว่าทรัพย์มรดกรายพิพาทตกเป็นของนางจำปีก่อนที่นาวาเอกหลวงพินิจกลไกถึงแก่กรรม และโจทก์มิได้ฟ้องคดีภายใน 1 ปี นับแต่เจ้ามรดกถึงแก่กรรม คดีขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของนาวาเอกหลวงพินิจกลไก แบ่งมรดกในที่ดินโฉนเลขที่ 66695 ถึง 66702, 66689,66691 ถึง 66693, 2780, 91701, 91705, 91709, 61363, 61359(ที่ถูกคือ 61369) และ 91708 ตำบลสามเสนใน อำเภอดุสิต กรุงเทพมหานครพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่ปลูกในที่ดินเฉพาะส่วนที่ตกเป็ยกองมรดกของนาวาเอกหลวงพินิจกลไกให้แก่โจทก์หนึ่งในเจ็ดส่วน หากแบ่งไม่ได้ก็ให้ใช้เงินจำนวน 346,476 บาท พร้อมกับดอกเบี้ยกับให้แบ่งเงินค่าเช่าทรัพย์มรดกให้แก่โจทก์เดือนละ 2,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะแบ่งมรดกเสร็จให้แก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า นาวาเอกหลวงพินิจกลไกเป็นสามีของนางฉลิม สุวรรณโรชเมื่อ พ.ศ. 2465 ก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5มีบุตรด้วยกันและมีชีวิตอยู่ 5 คน ต่อมา พ.ศ. 2520 นาวาเอกหลวงพินิจกลไกได้จดทะเบียนสมรสกับนางจำปี ชัยเฉลิมพล แต่ไม่มีบุตรด้วยกัน นาวาเอกหลวงพินิจกลไกถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2521ระหว่างนาวาเอกหลวงพินิจกลไกมีชีวิตอยู่ได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 2780 เนื้อที่ 1 ไร่ 2 งาน 96.7 ตารางวา ต่อมาได้แบ่งเป็นแปลงย่อมรวม 36 แปลง จำเลยเป็นผู้จัดการมรดกของนาวาเอกหลวงพินิจกลไก ได้ตรวจพบว่าที่ดินจำนวน 19 แปลงได้โอนไปเป็นกรรมสิทธิ์ของนางจำปี สุวรรณสโรช คงเหลือที่ดินอยู่แปลงเดียวคือ ที่ดินโฉนดเลขที่ 66686 นางเฉลิมได้ฟ้องนางจำปีกับพวกขอเพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินดังกล่าว ศาลฎีกาได้พิพากษาให้เพิกถอนการโอนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเฉพาะส่วนที่โอนให้นางจำปีมาเป็นสินสมรสระหว่างนาวาเอกหลวงพินิจกลไกกับนางเฉลิม คดีมีปัญหาตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า โจทก์เป็นทายาทมีสิทธิได้รับมรดกของนาวาเอกหลวงพินิจกลไกหรือไม่ ได้ความจากตัวโจทก์ว่า บิดาโจทก์ชื่อนาวาเอกหลวงพินิจกลไก มารดาชื่อนางบุญชู สร้อยสน บิดามารดามิได้จดทะเบียนสมรสกัน โจทก์เกิดเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2498 บิดาใช้ให้ผู้อื่นไปแจ้งการเกิดแทนบิดาได้ตั้งชื่อให้โจทก์และยินยอมให้ใช้นามสกุลสุวรรณสโรช ต่อมาบิดาได้พาโจทก์ไปเข้าโรงเรียนได้แจ้งเป็นบุตร นางบุญชูมารดาโจทก์มาเบิกความยืนยันว่าโจทก์เป็นบุตรของพยานซึ่งเกิดกับนาวาเอกหลวงพินิจกลไก เมื่อโจทก์อายุได้ 3 ขวบพยานได้เลิกกับนาวาเอกหลวงพินิจกลไก และทิ้งให้โจทก์อยู่กับนาวาเอกหลวงพินิจกลไกชาวบ้านละแวกนั้นทราบดีว่าโจทก์เป็นบุตรนาวาเอกหลวงพินิจกลไก เมื่อโจทก์อายุได้ 7 ขวบ นาวาเอกหลวงพินิจกลไกได้พาโจทก์ไปเข้าโรงเรียนเทศบางสุโขทัย เมื่อจบชั้นประถมปีที่ 4 แล้วได้ย้ายไปเรียนที่โรงเรียนจำนงค์วิทยา จบชั้นมัธยมปีที่ 3 แล้วย้ายไปเรียนที่โรงเรียนผะดุงศิษย์พิทยา เห็นว่าโจทก์มีสำเนาสูติบัตรเอกสาร จ.8 มาแสดงว่าโจทก์เป็นบุตรนาวาเอกหลวงพินิจกลไกกับนางบุญชู แม้นาวาเอกหลวงพินิจกลไกจะไม่ใช่ผู้แจ้งการเกิดของโจทก์ก็ตาม แต่ได้มีการแจ้งนามสกุลของโจทก์ว่าสุวรรณสโรช และมีนาวาเอกหลวงพินิจกลไกเป็นบิดา ซึ่งเรื่องนี้นางสุนี โสมวิภาตผู้ช่วยนายทะเบียนท้องถิ่นเขตยานนาวา ได้เบิกความเป็นพยานโจทก์ว่า พยานเป็นผู้รับรองสำเนาอันถูกต้องสูติบัตรของโจทก์ แสดงว่าได้มีการแจ้งการเกิดตามสำเนาสูติบัตรนี้จริงนางกุลธิดา เกษสุวรรณสิงห์ ครูใหญ่โรงเรียนสตรีจำนงค์วิทยาเบิกความเป็นพยานโจทก์ว่า เดิมพยานเป็นครูที่โรงเรียนจำนงค์วิทยามาก่อนต่อมาได้เป็นครูใหญ่โรงเรียนสตรีจำนงค์วิทยา เมื่อ พ.ศ. 2508ตามระเบียนของโรงเรียน ผู้ปกครองจะต้องมอบตัวเด้กพร้อมกับลงลายมือชื่อในแบบมอบตัวและเอกสารหมาย จ.3 นี้ได้ถ่ายมาจากต้นฉบับจริงซึ่งปรากฏว่านาวาเอกหลวงพินิจกลไกได้แจ้งว่าโจทก์เป็นบุตร และอยู่อาศัยอยู่บ้านเดียวกัน และจะเป็นผู้อุปถัมภ์ค่าเล่าเรียนเครื่องแต่งตัว เครื่องเล่าเรียนให้พอใช้สอยถูกต้องตามระเบียบและข้อบังคับของโรงเรียน ได้ลงชื่อนาวาเอกหลวงพินิจกลไกไว้ด้วยนอกจากนี้นางสุนันทา มุกข์ประดิษฐ์ ครูโรงเรียนผะดุงศิษย์พิทยาเบิกความเป็นพยานโจทก์ด้วยว่า โจทก์เคยเป็นนักเรียนโรงเรียนผะดุงศิษย์พิทยา นาวาเอกหลวงพินิจกลไกเป็นผู้ปกครองของโจทก์ได้ลงชื่อไว้ด้านหลังใบมอบตัว ซึ่งระบุว่าเป็นบิดาของโจทก์ เห็นว่าพฤติการณ์ที่นาวาเอกหลวงพินิจกลไกพาโจทก์ไปมอบตัวตามโรงเรียนต่าง ๆเหมือนบิดากับบุตรโดยทั่วไปได้ปฏิบัติกัน และปฏิบัติต่อโจทก์อย่างโจทก์เป็นบุตรของตนเช่นนี้ ถือได้ว่านาวาเอกหลวงพินิจกลไกได้รับรองโจทก์ซึ่งเป็นบุตรนอกกฎหมายว่าเป็นบุตรของตนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1627 แล้ว
มีปัญหาตามฎีกาของจำเลยต่อไปว่า โจทก์มีสิทธิได้รับมรดกของนาวาเอกหลวงพินิจกลไกจำนวนเท่าไร เห็นว่า พระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติ บรรพ 5 แห่ง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. 2519 มาตรา 4 บัญญัติว่า บทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่ไม่กระทบกระเทือนถึงบทบัญญัติ มาตรา 4 และมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พุทธศักราช 2477 ดังนั้นการแบ่งสินสมรสของหลวงพินิจกลไกกับนางเฉลิมซึ่งสมรสกันก่อนวันใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 เดิม จึงต้องแบ่งตามกฎหมายลักษณะผัวเมีย บทที่ 68 หาใช่แบ่งให้คนละส่วนเท่ากัน ตามมาตรา 1533ไม่ ไม่ปรากฏว่านาวาเอกหลวงพินิจกลไกและนางเฉลิมมีสินเดิม จึงต้องฟังว่าทั้งสองฝ่ายต่างไม่มีสินเดิมด้วยกัน เมื่อนาวาเอกหลวงพินิจกลไกถึงแก่กรรม สินสมรสต้องแบ่งเป็นสามส่วนเป็นของนาวาเอกหลวงพินิจกลไกสองส่วน อีกหนึ่งส่วนเป็นของนางเฉลิม ที่จำเลยอ้างว่าตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 566/ 2527 ได้พิพากษาให้นางเฉลิมมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินครึ่งหนึ่งแล้วที่ดินแปลงอื่นที่ได้มาตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1221/ 2527 นางเฉลิมจึงมีกรรมสิทธิ์ครึ่งหนึ่งด้วย เพราะการได้มาของที่ดินดังกล่าวได้มาในลักษณะเดียวกันกับคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 566/ 2527 เห็นว่า คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 566/ 2527 วินิจฉัยถึงสิทธิของคู่ความในคดีดังกล่าวโดยไม่มีประเด็นเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท คำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวไม่ใช่คำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวไม่ใช่คำพิพากษาที่แสดงหรือวินิจฉัยถึงกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทว่านางเฉลิมมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพินพาทครึ่งหนึ่ง จึงไม่เข้าข้อยกเว้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 145 (2) ที่จะนำคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวมายันแก่โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้ ดังนั้นสองในสามส่วนของที่ดิน 19 แปลงพร้อมสิ่งปลูกสร้างตามฟ้องจึงเป็นมรดกของนาวาเอกหลวงพินิจกลไกโจทก์มีสิทธิได้รับหนึ่งในเจ็ดส่วยของทรัพย์มรดกดังกล่าว ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ควรได้ค่าเช่าหรือผลประโยชน์ซึ่งได้จากทรัยพ์มรดกพิพาทเดือนละ 218.28 บาทเท่านั้น เพราะนางจำปีได้จดทะเบียนการเช่ากับผู้เช่าเดิม เห็นว่า จำเลยมีแต่บัญชีรายรับและรายจ่ายตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2527 ถึงวันที่ 31 พฤษาคม 2528 ซึ่งตึกแถวบางห้องมีค่าเช่าเพียงเดือนละ 80 บาทเท่านั้น ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้ ดังนั้นที่ศาลล่าวทั้งสองกำหนดให้เดือนละ 2,000 บาทนั้นนังว่าพอสมควรแล้ว
จำเลยฎีกาประการสุดท้ายว่า โจทก์ทราบว่านาวาเอกหลวงพินิจกลไกถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2521 และมีทรัพย์มมรดก โจทก์ต้องฟ้องคดีภายใน 1 ปี นับแต่เจ้ามรดกถึงแก่กรรม แต่โจทก์นำคดีมาฟ้องหลังจากเจ้ามรดกถึงแก่กรรมเป็นเวลาถึง 6 ปี จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 นั้น เห็นว่า โจทก์ฟ้องจำเลยขอแบ่งทรัยพ์มรดกจากจำเลยซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของนาวาเอกหลวงพินิจกลไก จำเลยตกอยู่ในฐานะผู้ครอบครองทรัพย์มรดกแทนทายาททั้งหลายเท่านั้น จำเลยไม่อาจจะยกอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 ขึ้นต่อสู้โจทก์ได้…”
พิพากษายืน.