แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ในคดีอาญา โจทก์ต้องนำสืบให้ปราศจากความสงสัยว่าจำเลยกระทำความผิด เมื่อคดีมีปัญหาว่าถ้อยคำที่จำเลยให้การต่อเจ้าพนักงานว่า บ. เป็นบุตรของ ค. นั้นเป็นเท็จหรือไม่ โดยโจทก์มี พ.เท่านั้นที่เบิกความว่า บ.ที่จำเลยพามาให้ดูไม่ใช่บุตรของ ค.กับว. พยานโจทก์นอกจากนี้ก็มีแต่คำให้การที่เจ้าพนักงานบันทึกไว้ มิได้นำพยานบุคคลมาสืบประกอบ จำเลยไม่มีโอกาสซักค้านพยานดังกล่าวได้พยานโจทก์จึงยังเป็นที่สงสัย ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 137, 267, 83
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 137, 267 ลงโทษตามมาตรา 267 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ให้จำคุก 1 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า จำเลยเป็นผู้ใหญ่บ้านบ้านโคกสูง หมู่ที่ 3ตำบลเย้ยปราสาท อำเภอหนองกี่ จังหวัดบุรีรัมย์ ตามวันเวลาเกิดเหตุจำเลยกับนางลำพอง บึงลอย และนายบุญสุข สินสุพรรณได้พากันไปที่ว่าการอำเภอหนองกี่ แล้วนางลำพองยื่นคำร้องขอแจ้งการเกิดเกินกำหนดเวลาให้กับนายบุญสุขต่อเจ้าพนักงานปกครองว่า นายบุญสุขเป็นบุตรนายคูณ นางวนให้เพิ่มชื่อนายบุญสุข ลงในทะเบียนบ้านเลขที่ 99 หมู่ที่ 3ตำบลเย้ยปราสาท อำเภอหนองกี่ จังหวัดบุรีรัมย์ และจำเลยในฐานะผู้ใหญ่บ้านได้ให้คำรับรองคำร้องของนางลำพองว่าเป็นความจริง ในที่สุดนายอำเภอหนองกี่เชื่อว่าคำร้องขอของนางลำพองเป็นความจริงได้อนุมัติให้เพิ่มชื่อได้และออกใบสูติบัตรกับออกบัตรประจำตัวประชาชนให้ ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า ถ้อยคำที่จำเลยให้ต่อเจ้าพนักงานทะเบียนและบัตรประจำตัวประชาชนอำเภอหนองกี่ว่านายบุญสุขเป็นบุตรของนายคูณนั้นเป็นความเท็จหรือไม่ พยานโจทก์มีนายคำพา บุบผาเท่านั้นที่เบิกความว่า นายบุญสุขที่จำเลยพามาให้พยานดูไม่ใช่บุตรนายคูณ นางวน ศาลฎีกาเห็นว่าคดีอาญา โจทก์ต้องนำสืบให้ปราศจากความสงสัยว่าจำเลยกระทำผิด พยานโจทก์นอกจากนี้ก็มีแต่คำให้การที่เจ้าพนักงานบันทึกไว้ มิได้นำพยานบุคคลมาสืบประกอบ จำเลยไม่มีโอกาสซักค้านพยานดังกล่าวได้ ซึ่งตามพฤติการณ์ของคดีเป็นหน้าที่โจทก์ในการกระนำพยานที่ให้ถ้อยคำไว้มาเบิกความต่อศาล สำหรับสำเนาคำให้การของผู้ต้องหาที่โจทก์แนบมาท้ายฎีกานั้น โจทก์มิได้ดำเนินการตามกฎหมายวิธีพิจารณาความให้ถูกต้องจึงไม่รับฟังสำหรับพยานจำเลยนั้น นอกจากจำเลยและนายบุญสุขจะเบิกความยืนยันว่าเป็นบุตรของนายคูณตามที่ให้ถ้อยคำต่อเจ้าพนักงานแล้ว ยังได้ความจากนายประกอบ บุญสิงห์พยานโจทก์ว่าจากการสอบสวนเชื่อว่านายบุญสุขเป็นคนไทย และพยานดังกล่าวได้สอบสวนนางสุจิตรา โพนยะพันธ์ เจ้าหน้าที่เกษตรและนายประทิน รุ่งเจริญ ครูสอนอยู่โรงเรียนบ้านหนองตาดำอำเภอหนองกี่ ซึ่งเป็นข้าราชการสัญญาบัตรผู้รับรองก็ยืนยันว่านายบุญสุขเกิดที่บ้านโคกสูง ตำบลเย้ยปราสาท นอกจากนี้นายบุญทิศ ดวยจันทร์ นายอำเภอหนองกี่ พยานโจทก์ก็มิได้ยืนยันว่านายบุญสุขมิใช่คนไทย ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1เห็นว่าพยานโจทก์ยังเป็นที่สงสัย ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลย และพิพากษายกฟ้อง ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”
พิพากษายืน