แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์จำเลยที่สั่งให้โจทก์จ่ายค่าเสียหายแก่ ก. เนื่องจากการกระทำอันไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518หาใช่เป็นการฟ้องเรียกค่าเสียหาย ทรัพย์สินหรือราคาที่สูญเสียไปเพราะการกระทำความผิดอาญาไม่ แม้โจทก์ถูกดำเนินคดีอาญาในความผิดฐานฝ่าฝืนประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน และเรื่องอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ก็ไม่ใช่มูลเหตุเดียวกันกับที่โจทก์ฟ้องในคดีนี้ คดีนี้จึงไม่ใช่คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาดังกล่าวในการพิพากษาคดีศาลไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา คำร้องทั้งสามฉบับของ ก. กล่าวหาว่าโจทก์เลิกจ้าง ก.ซึ่งเป็นลูกจ้างอันเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรม แม้คำร้องสองฉบับแรกจะไม่ระบุว่าโจทก์ได้เลิกจ้าง ก. เพราะเหตุที่ ก. ทำคำร้องและให้หลักฐานต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน แต่ก็ได้ระบุเหตุดังกล่าวในคำร้องกล่าวหาเพิ่มเติมฉบับที่สาม ซึ่งชอบที่ ก. จะกระทำได้ เมื่อจำเลยได้รับคำร้องดังกล่าวแล้วก็ย่อมจะต้องวินิจฉัยชี้ขาดได้ว่าเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรมหรือไม่ ซึ่งในเรื่องดังกล่าวไม่ใช่กรณีที่จะนำบทบัญญัติในเรื่องแก้ไขคำฟ้อง คำให้การตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 180,187 มาใช้บังคับ.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์จำเลยที่วินิจฉัยว่าโจทก์เลิกจ้างลูกจ้างผู้ร้อง เป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรม
จำเลยทั้งสิบให้การว่า โจทก์เลิกจ้างลูกจ้างผู้ร้องเพราะผู้ร้องได้ร้องเรียนและให้หลักฐานต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน ซึ่งเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรม คำสั่งของจำเลยชอบแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “…มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า ในคดีนี้ศาลจะต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาหมายเลขแดงที่ 13530/2532 ของศาลแขวงพระนครใต้ ที่โจทก์ถูกฟ้องเป็นจำเลย ที่ว่า นางสาวกาญจนา ไม่ใช่ลูกจ้างโจทก์ตามข้ออุทธรณ์ของโจทก์หรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์จำเลยที่สั่งให้โจทก์จ่ายค่าเสียหายแก่นางสาวกาญจนา ศรีโกมุท เนื่องจากการกระทำอันไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 หาใช่เป็นการฟ้องเรียกค่าเสียหายทรัพย์สินหรือราคาที่สูญเสียไปเพราะการกระทำผิดอาญาไม่ แม้โจทก์ถูกดำเนินคดีอาญาในความผิดฐานฝ่าฝืนประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน และเรื่อง อัตตราค่าจ้างขั้นต่ำก็ไม่ใช่มูลเหตุเดียวกันกับที่โจทก์ฟ้องในคดีนี้ คดีนี้จึงไม่ใช่คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาดังกล่าว ในการพิพากษาคดีศาลจึงไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา
โจทก์อุทธรณ์ต่อไปอีกว่า นางสาวกาญจนาทำคำร้องกล่าวหาเกี่ยวกับการกระทำอันไม่เป็นธรรมยื่นต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์2 ครั้ง ครั้งแรกตามคำร้องฉบับลงวันที่ 20 มิถุนายน 2532โดยอ้างว่าถูกเลิกจ้างเพราะเหตุที่ได้ไปเบิกความต่อศาลแรงงานกลางและครั้งที่สองตามคำร้องฉบับลงวันที่ 11 กรกฎาคม 2532 โดยอ้างว่าถูกเลิกจ้างโดยเหตุที่ได้ไปเบิกความต่อศาลแขวงพระนครใต้ซึ่งไม่เข้าข้อบัญยัติของกฎหมายตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์พ.ศ. 2518 มาตรา 121(1) ครั้นวันที่ 11 กรกฎาคม 2532 นางสาวกาญจนาได้ให้การต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ว่า นางสาวกาญจนาถูกเลิกจ้างเพราะเหตุที่ได้ไปเบิกความต่อศาลแขวงพระนครใต้ตามเอกสารหมาย จ.36 และต่อมาเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2532 ได้ให้การครั้งสุดท้ายต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ว่า ตนไม่มีพยานบุคคลและพยานเอกสารใดอีก ตามเอกสารหมาย จ.28 ซึ่งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ต้องสรุปสำนวนทำคำชี้ขาดต่อไป แต่นางสาวกาญจนากลับมายื่นคำร้องกล่าวหากเกี่ยวกับการกระทำอันไม่เป็นธรรมเพิ่มเติมตามคำร้องฉบับลงวันที่ 18 สิงหาคม 2532 เป็นการกระทำที่เอาเปรียบโจทก์ อันเป็นการขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา180, 187 คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ไม่อาจรับคำร้องกล่าวหาเกี่ยวกับการกระทำอันไม่เป็นธรรมของนางสาวกาญจนา และคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ไม่มีอำนาจวินิจฉัยคำร้องกล่าวหาเกี่ยวกับการกระทำอันไม่เป็นธรรมทั้งสามฉบับของนางสาวกาญจนา พิเคราะห์แล้วเห็นว่าคำร้องทั้งสามฉบับของนางสาวกาญจนาเป็นคำร้องที่กล่าวหาว่าโจทก์เลิกจ้างนางสาวกาญจนาซึ่งเป็นลูกจ้างอันเป็นการกระทำอันไม่ธรรมแม้ตามคำร้องฉบับแรกและฉบับที่สองจะไม่ระบุว่าโจทก์ได้เลิกจ้างนางสาวกาญจนาเพราะเหตุที่นางสาวกาญจนาทำคำร้องและให้หลักฐานต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานว่าโจทก์ปฏิบัติฝ่าฝืนประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานและเรื่องอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ อันเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรมแต่ก็ระบุเหตุดังกล่าวในคำร้องกล่าวหาเพิ่มเติมฉบับที่สามซึ่งชอบที่นางสาวกาญจนาจะกระทำได้ เมื่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ได้รับคำร้องดังกล่าวแล้วก็ย่อมจะต้องวินิจฉัยชี้ขาดได้ว่าการที่โจทก์เลิกจ้างนางสาวกาญจนาเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรมหรือไม่ตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 125ซึ่งในเรื่องดังกล่าวมิใช่เป็นกรณีที่จะนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 180, 187 มาใช้บังคับ ดังที่โจทก์อุทธรณ์…”
พิพากษายืน.