คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3582/2525

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยรับหนังสือพิมพ์จากโจทก์ไปจำหน่ายแล้วค้างชำระราคา ขอให้บังคับจำเลยชำระ จำเลยให้การต่อสู้ว่าไม่เคยรับหนังสือพิมพ์จากโจทก์ แต่ ส. เป็นผู้รับจากโจทก์ไปจำหน่าย และโจทก์กับ ส. ได้ประนีประนอมยอมความกันโดย ส. ได้ทำสัญญากู้เอกสารหมาย จ. 3 ให้โจทก์ไว้และส. จะผ่อนชำระให้แก่โจทก์ ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยจะต้องรับผิดตามฟ้องหรือไม่ ดังนี้ โจทก์มีสิทธินำสืบถึงความเป็นมาของสัญญากู้เอกสารหมาย จ. 3 ว่าการที่โจทก์ยอมให้ ส. ทำสัญญากู้ไว้กับโจทก์เพราะจำเลยขอร้องให้ช่วยทำแทนจำเลย ส. จึงเป็นตัวแทนของจำเลย เพื่อหักล้างข้ออ้างของจำเลยได้ ไม่เป็นการนำสืบนอกฟ้องนอกประเด็น เพราะประเด็นข้อพิพาทมิใช่เกิดจากคำฟ้องฝ่ายเดียว ย่อมเกิดจากคำให้การได้ด้วย ดังบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 183 และจำเลยเท่านั้นมีหน้าที่รับหรือปฏิเสธข้ออ้างของคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามมาตรา 177 วรรคสอง ฉะนั้น การที่จำเลยให้การต่อสู้คดีมีข้ออ้างบางประการขึ้นมานั้น โจทก์ไม่มีหน้าที่ต้องบรรยายฟ้องเพิ่มเติม แถลงรับ หรือปฏิเสธข้ออ้างเช่นว่านั้นของจำเลยซ้อนขึ้นมาอีก ดังนั้น เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยรับหนังสือพิมพ์จากโจทก์ไปจำหน่ายแต่ ส. ได้ยอมผูกพันตนเข้าทำสัญญากู้เอกสารหมาย จ. 3 เป็นหนี้โจทก์และจะผ่อนชำระจึงเป็นการแปลงหนี้ใหม่หนี้ของจำเลยระงับพิพากษายกฟ้องโจทก์โจทก์จึงมีสิทธิอุทธรณ์ว่าสัญญากู้เอกสารหมาย จ.3 เป็นนิติกรรมอำพรางดังที่โจทก์นำสืบและไม่ใช่เป็นการแปลงหนี้ใหม่ได้ ไม่ใช่เป็นเรื่องนอกประเด็น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันรับหนังสือพิมพ์จากโจทก์ไปจำหน่ายแล้วผิดนัดชำระราคา ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยทั้งสองไม่เคยรับหนังสือพิมพ์จากโจทก์นายสุชาติเป็นตัวแทนขายหนังสือพิมพ์ของโจทก์แต่ผู้เดียว หนี้ตามฟ้องโจทก์ได้ตกลงประนีประนอมยอมความกับนายสุชาติให้ผ่อนชำระเป็นรายเดือนฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์โจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาที่โจทก์ฎีกามาว่าโจทก์มีสิทธิอุทธรณ์ในเรื่องสัญญากู้หมาย จ.๓ ว่าเป็นนิติกรรมอำพราง ไม่ใช่เป็นการแปลงหนี้ใหม่ดังคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นหรือไม่เสียก่อน ศาลฎีกาเห็นว่าประเด็นข้อพิพาทมิใช่เกิดจากคำฟ้องฝ่ายเดียว ย่อมเกิดจากคำให้การได้ด้วย ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๘๓ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งและจำเลยเท่านั้นมีหน้าที่รับหรือปฏิเสธข้ออ้างของคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามมาตรา ๑๗๗ วรรคสอง ฉะนั้นในการที่จำเลยให้การต่อสู้คดี มีข้ออ้างบางประการขึ้นมานั้น โจทก์ไม่มีหน้าที่ต้องบรรยายฟ้องเพิ่มเติมแถลงรับหรือปฏิเสธข้ออ้างเช่นว่านั้นของจำเลยซ้อนขึ้นมาอีก คดีนี้จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธว่าไม่เคยร่วมรับหนังสือพิมพ์จากโจทก์ไปจำหน่ายและเป็นหนี้ตามที่โจทก์ฟ้องเลยอ้างว่านายสุชาติ ปิงเมือง ต่างหากที่เป็นตัวแทนรับหนังสือพิมพ์จากโจทก์ไปจำหน่าย และหนี้ตามฟ้องนี้ นายสุชาติยังได้ตกลงประนีประนอมยอมความกับโจทก์จะผ่อนชำระเป็นรายเดือน ดังหลักฐานที่จำเลยจะส่งศาลในชั้นพิจารณาซึ่งหมายถึงสัญญากู้หมาย จ.๓ นั่นเอง โจทก์จึงมีสิทธินำสืบถึงความเป็นมาของสัญญากู้ดังกล่าวเพื่อหักล้างข้ออ้างของจำเลยได้ ไม่เป็นการนำสืบนอกฟ้องนอกประเด็น ด้วยเหตุนี้ เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าสัญญากู้หมาย จ.๓ เป็นการแปลงหนี้ใหม่ด้วยเปลี่ยนตัวลูกหนี้จากจำเลยเป็นนายสุชาติ หนี้ที่จำเลยมีต่อโจทก์จึงระงับไป โจทก์จึงมีสิทธิอุทธรณ์ปัญหาข้อนี้ว่าไม่ใช่เป็นการแปลงหนี้ใหม่ต่อศาลอุทธรณ์ได้ เพราะไม่มีบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งหรือกฎหมายอื่นบัญญัติให้คำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่วินิจฉัยในปัญหาข้อนี้ให้เป็นที่สุด
อาศัยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๓(๒), ๒๔๗ จึงให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาใหม่แล้วพิพากษาไปตามรูปคดี

Share