แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยใช้เชือกไนล่อนเส้นเดียวผูกเรือลำเลียงของจำเลยติดกับเรือเดินทะเลเพื่อขนถ่ายข้าวสารขึ้นเรือเดินทะเล ขณะที่กำลังขนถ่ายข้าวสารอยู่นั้นเกิดพายุอย่างแรง เชือกผูกหัวเรือลำเลียงขาด คลื่นตีหัวเรือลำเลียงออกไป ท้ายเรือและหางเสือไปกระแทกกับเรือเดินทะเลเป็นเหตุให้กระบอกหางเสือแตก น้ำเข้าเรือลำเลียงทางกระบอกหางเสือข้าวสารในเรือเปียกน้ำเสียหาย ขณะเกิดเหตุเป็นฤดูหนาวซึ่งมักมีคลื่นลมแรงตลอดวัน และการป้องกันไม่ให้เชือกขาดอาจทำได้โดยการผูกเรือด้วยเชือกหลาย ๆ เส้น ดังนี้เหตุที่เกิดขึ้นยังถือไม่ได้ว่าเป็นเหตุสุดวิสัยเพราะมีทางที่จะป้องกันมิให้เหตุนั้นเกิดขึ้น จำเลยจึงต้องรับผิด
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า บริษัทเกษตรรุ่งเรืองพืชผล จำกัด ได้ตกลงว่าจ้างจำเลยที่ ๑ เป็นผู้ขนส่งข้าวสารจำนวน ๔,๐๐๐ กระสอบ จำเลยที่ ๑ ได้มอบให้จำเลยที่ ๒ นำเรือลำเลียงชื่อซิลเวอร์สตาร์ ๔ ซึ่งจำเลยที่ ๒ เป็นเจ้าของไปรับมอบข้าวสารจำนวนดังกล่าวบริษัทเกษตรรุ่งเรืองพืชผลจำกัดได้เอาประกันภัยในความเสียหายไว้กับโจทก์ ต่อมาเรือซิลเวอร์สตาร์ ๔ ได้บรรทุกข้าวสารไปจอดเทียบเรือเอส.เอส.บริสตอล ซึ่งจอดอยู่ที่บริเวณเกาะสีชังเพื่อขนถ่ายข้าวสาร โดยใช้เชือกผูกยึดเรือไว้กับเรือ เอส.เอส.บริสตอลเพื่อป้องกันมิให้เรือถูกคลื่นซัดเคลื่อนไปมา แต่ปรากฏว่าเชือกที่ผูกเรือไว้ขาด เป็นเหตุให้เรือซิลเวอร์สตาร์ ๔ ถูกคลื่นซัดกระแทกกับเรือ เอส.เอส.บริสตอล กระบอกหางเสือและแนวท้องเรือแตก น้ำทะเลไหลเข้าระวางเรือ ทำให้ข้าวสารเปียกน้ำทะเลจำนวน ๒๒๐ กระสอบ คิดเป็นค่าเสียหาย ๖๗,๗๕๐ บาท โจทก์ในฐานะผู้รับประกันภัยได้ชำระเงินจำนวนดังกล่าวให้บริษัทเกษตรรุ่งเรืองพืชผลจำกัดไปแล้ว จึงเป็นผู้รับช่วงสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยได้ ขอให้บังคับจำเลยร่วมกันชำระเงินดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า ไม่ได้ร่วมกับจำเลยที่ ๒ ขนข้าวสารตามฟ้องตามประเพณีการขนส่งสินค้าทางน้ำที่ปฏิบัติต่อกันมา จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ไม่ต้องรับผิดต่อความเสียหายหรือสูญหายที่เกิดขึ้น ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า เหตุที่เกิดขึ้นเพราะคลื่นลมแรงผิดปกติเป็นเหตุสุดวิสัยขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหาย จำนวน ๖๗,๗๕๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๒ ฎีกาว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นเป็นเพราะเหตุสุดวิสัย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ได้ความจากนายขวัญเมืองพยานจำเลยซึ่งเป็นลูกจ้างจำเลยที่ ๒ และเป็นผู้ควบคุมเรือซิลเวอร์สตาร์ ๔ ว่าขณะเกิดเหตุกำลังขนถ่ายข้าวสารอยู่ เกิดมีพายุอย่างแรงทำให้เชือกผูกหัวเรือซิลเวอร์สตาร์ ๔ ขาด คลื่นตีหัวเรือออกไปท้ายเรือและหางเสือไปกระแทกกับเรือเอส.เอส.บริสตอล เป็นเหตุให้กระบอกหางเสือแตกน้ำเข้าเรือทางกระบอกหางเสือ ข้าวสารในเรือถูกน้ำเปียก ฤดูหนาวมักมีคลื่นลมแรงตลอดวัน เหตุที่เกิดขึ้นในคดีนี้เป็นฤดูหนาว เชือกที่ใช้ผูกเรือซิลเวอร์สตาร์ ๔ ติดกับเรือเอส.เอส.บริสตอลเป็นเชือกไนล่อนซึ่งใช้ลากจูงเรือด้วย ในกรณีที่มีคลื่นลมแรงเชือกนี้อาจขาดได้การป้องกันไม่ให้ขาดทำได้โดยการผูกเชือกหลาย ๆ เส้น แต่กรณีนี้ไม่ได้ผูกเชือกหลายเส้น และรุ่งขึ้นจากวันเกิดเหตุนายขวัญเมืองได้ไปแจ้งความแก่ร้อยตำรวจเอกเฉลิมว่า ขณะเกิดเหตุได้เกิดคลื่นแรงทำให้เชือกขาด เห็นว่าเหตุที่เกิดขึ้นยังถือไม่ได้ว่าเป็นเหตุสุดวิสัย เพราะมีทางที่จะป้องกันมิให้เหตุนั้นเกิดขึ้น แต่ฝ่ายจำเลยไม่ได้จัดการระมัดระวังหาทางป้องกันตามสมควร จำเลยที่ ๒ จะอ้างเหตุสุดวิสัยตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๘ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เพื่อให้พ้นความรับผิดหาได้ไม่
พิพากษายืน