คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2551/2521

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องจำเลยฐานแจ้งความเท็จหรือเบิกความเท็จโดยบรรยายฟ้องแต่เพียงว่า จำเลยแจ้งแก่พนักงานสอบสวนอย่างหนึ่ง แล้วมาเบิกความต่อศาลอีกอย่างหนึ่ง อันเป็นการแตกต่างและขัดกัน ซึ่งเป็นความเท็จ แต่มิได้บรรยายว่าอย่างไหนเป็นความเท็จ อย่างไหนเป็นความจริงหรือความจริงเป็นอย่างไร ยากที่จำเลยจะต่อสู้คดีได้ถูกต้อง จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยเบิกความว่า จำเลยไม่เคยให้การชั้นสอบสวนและลายพิมพ์นิ้วมือท้ายคำให้การชั้นสอบสวนนั้นไม่ใช่ลายพิมพ์นิ้วมือของจำเลย ดังนี้ แม้จะฟังว่าจำเลยให้การไว้แก่พนักงานสอบสวนและลายพิมพ์นิ้วมือท้ายคำให้การชั้นสอบสวนเป็นลายพิมพ์นิ้วมือของจำเลยจริงก็ตาม เมื่อข้อสำคัญในคดีมีอยู่ว่าจำเลยจำคนร้ายที่เห็นนั้นได้หรือไม่ ข้อความที่จำเลยเบิกความดังกล่าวก็ไม่ใช่ข้อสำคัญในคดี จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานเบิกความเท็จ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2516 เวลากลางวัน จำเลยให้การเป็นพยานชั้นสอบสวนในคดีอาญาต่อพันตำรวจโทไวโรจน์และพันตำรวจโทอำนวยซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนคดีอาญาว่า เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2516 เวลาประมาณ2 ทุ่ม ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัดทางใต้บ้าน หลังจากนั้นได้ยินเสียงนางม้วนภรรยาของนายเย็นน้องชายจำเลยร้องไห้ จึงรีบวิ่งไปบ้านนายเย็นซึ่งอยู่ห่างประมาณ10 วา ขณะวิ่งไปจะถึงบ้านนายเย็น จำเลยได้เห็นคนร้ายจำได้คือนายชาญ และในคืนนั้นได้บอกนางม้วนว่า เห็นนายชาญวิ่งผ่านหน้าจำเลยไป แต่เมื่อวันที่ 30สิงหาคม 2517 เวลากลางวัน จำเลยเข้าเป็นพยานในศาลโดยสาบานตัวแล้วและเบิกความต่อศาลมณฑลทหารบกที่ 4 (ศาลจังหวัดแพร่) ว่า เมื่อวันที่ 17เดือนหกเหนือปีนี้ เวลาประมาณ 2 ทุ่ม หลังจากได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 1 นัดทางบ้านนางม้วน จึงได้รีบวิ่งไป ระหว่างทางแลเห็นคนร้าย แต่จำไม่ได้ว่าใคร และคืนนั้นไม่ได้บอกใครว่าเห็นคนร้าย ซึ่งแตกต่างกับคำให้การชั้นสอบสวนในข้อสำคัญแห่งคดี ทั้งนี้โดยในวันที่ 25 มีนาคม 2517 เวลากลางวัน จำเลยบังอาจแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญาแก่พนักงานสอบสวน เพื่อให้บุคคลอื่นต้องได้รับโทษฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและทำให้ประชาชนเสียหายหรือมิฉะนั้นในวันที่ 30 สิงหาคม 2517 เวลากลางวัน จำเลยบังอาจเบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีต่อศาล และข้อความเท็จดังกล่าวเป็นข้อสำคัญในคดี

เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2516 เวลากลางวัน จำเลยซึ่งสาบานตัวแล้วบังอาจเบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีอาญาหมายเลขดำที่ 66/2516หมายเลขแดงที่ 104/2516 ของศาลมณฑลทหารบกที่ 4 (ศาลจังหวัดแพร่)ว่า จำเลยไม่เคยให้การชั้นสอบสวนกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและลายพิมพ์นิ้วมือท้ายคำให้การที่อัยการศาลมณฑลทหารบกที่ 4 (พนักงานอัยการจังหวัดแพร่)ส่งศาล ศาลให้จำเลยดูนั้นไม่ใช่ของจำเลย อันเป็นเท็จในข้อสำคัญแห่งคดีความจริงจำเลยได้ให้การไว้ต่อพนักงานสอบสวนแล้ว และลายพิมพ์นิ้วมือท้ายคำให้การที่อัยการศาลมณฑลทหารบกที่ 4 (พนักงานอัยการจังหวัดแพร่) ส่งศาล ศาลให้จำเลยดูนั้นเป็นของจำเลยที่แท้จริง

ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137, 172, 174,177, 181

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นงดสืบพยาน แล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามที่โจทก์บรรยายฟ้องข้อหาฐานแจ้งความเท็จหรือเบิกความเท็จมานั้น คงได้ความแต่เพียงว่า จำเลยแจ้งแก่พนักงานสอบสวนอย่างหนึ่ง แล้วมาเบิกความต่อศาลอีกอย่างหนึ่งอันเป็นการแตกต่างและขัดกันซึ่งเป็นความเท็จนั้น แต่ฟ้องโจทก์ มิได้บรรยายว่าอย่างไหนเป็นความเท็จ อย่างไหนเป็นความจริง หรือความจริงเป็นอย่างไร เมื่อโจทก์มิได้ยืนยันข้อเท็จจริงมาว่าข้อความใดเป็นความเท็จเช่นนี้แล้วก็ยากที่จำเลยจะต่อสู้คดีได้ถูกต้อง จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) ส่วนฟ้องข้อหาฐานเบิกความเท็จนั้นเห็นว่าที่จะเป็นความผิดฐานเบิกความเท็จนั้นต้องได้ความว่า ความเท็จนั้นเป็นข้อสำคัญในคดี ซึ่งมีอยู่ว่าคนร้ายที่จำเลยเห็นนั้น จำเลยจำได้ว่าเป็นนายชาญหรือไม่แต่ฟ้องโจทก์บรรยายว่าจำเลยเบิกความว่า จำเลยไม่เคยให้การชั้นสอบสวนและลายพิมพ์นิ้วมือท้ายคำให้การที่ให้ดูและส่งศาลนั้นไม่ใช่ลายพิมพ์นิ้วมือของจำเลยดังนั้นแม้จะฟังว่าจำเลยให้การไว้แก่พนักงานสอบสวนและลายพิมพ์นิ้วมือท้ายคำให้การชั้นสอบสวนเป็นลายพิมพ์นิ้วมือของจำเลยแต่จำเลยเบิกความว่า จำเลยไม่เคยให้การชั้นสอบสวนกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและลายพิมพ์นิ้วมือท้ายคำให้การชั้นสอบสวนก็ไม่ใช่ลายพิมพ์นิ้วมือของจำเลย ความเท็จนั้นก็ไม่ใช่ข้อสำคัญในคดี

พิพากษายืน

Share