คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5128/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ได้กรอกข้อความในสัญญาเช่าซื้อฉบับพิพาทตรงตามข้อตกลงระหว่างจำเลยกับโจทก์ และเช็คพิพาทเป็นเช็คที่จำเลยสั่งจ่ายเพื่อชำระค่าเช่าซื้องวดที่ 1ตามสัญญาเช่าซื้อดังกล่าว จึงเป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายซึ่งจำเลยทราบดีว่าจำเลยมีหน้าที่จะต้องชำระเงินตามเช็ค พิพาทให้โจทก์ในวันใด เมื่อเช็คพิพาทถึงกำหนดชำระเงินธนาคารตามเช็คปฏิเสธ การจ่ายเงิน ซึ่งตามวันที่จำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาท จำเลยมีเงินในบัญชีไม่พอจ่าย การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตาม พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534มาตรา 4 แม้ตามสัญญาเช่าซื้อได้ระบุว่า ถ้าผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระค่าเช่าซื้องวดหนึ่งงวดใด ผู้เช่าซื้อตกลงยินยอมให้ถือว่าสัญญานี้เป็นอันสิ้นสุดทันที สัญญาเช่าซื้อที่ทำกันไว้จึงเป็นอันเลิกกัน คู่สัญญาแต่ละฝ่ายจึงต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะเดิม แต่ไม่กระทบถึงสิทธิเรียกค่าเสียหายก็ตาม ปรากฏว่าเช็คพิพาทเป็นเช็คที่จำเลยได้ออกให้แก่โจทก์ตามสัญญาเช่าซื้อในขณะมีมูลหนี้ต่อกัน เมื่อโจทก์เรียกเก็บเงินตามเช็คพิพาทซึ่งจ่ายชำระเงินค่าเช่าซื้องวดแรกและธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน แม้สัญญาเช่าซื้อจะเลิกกันแต่มูลหนี้ค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระตามเช็คพิพาทยังคงมีอยู่หาได้ระงับหรือสิ้นผลผูกพันไปไม่ หาใช่เมื่อสัญญาเช่าซื้อเลิกกันแล้วจะทำให้มูลหนี้ในคดีสิ้นความผูกพันไปก่อนศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดไม่ คดีจึงยังไม่เลิกกัน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูลเฉพาะเช็คฉบับที่ 1 ให้ประทับฟ้อง ส่วนเช็คฉบับที่ 2 และที่ 3 ไม่มีมูลให้ยกฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4(1)(3)จำคุก 4 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยมีว่าจำเลยกระทำผิดดังที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาหรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยพยานหลักฐานโจทก์จำเลยแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า สัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย จ.3 หรือ จ.10 โจทก์ได้กรอกข้อความตรงตามข้อตกลงระหว่างจำเลยกับโจทก์ ส่วนเช็คพิพาทเอกสารหมาย จ.4 โจทก์ได้กรอกข้อความในเช็คต่อหน้าจำเลยเช็คพิพาทจึงเป็นเช็คที่จำเลยสั่งจ่ายเพื่อชำระค่าเช่าซื้องวดที่ 1 ตามสัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย จ.3 หรือ จ.10จึงเป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายซึ่งจำเลยทราบดีว่าจำเลยมีหน้าที่จะต้องชำระเงินตามเช็คพิพาทให้โจทก์ในวันใด เมื่อเช็คพิพาทถึงกำหนดชำระเงินธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน ซึ่งได้ความว่าตามวันที่จำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทจำเลยมีเงินในบัญชีไม่พอจ่าย การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดดังที่ศาลอุทธรณ์พิพากษา
ที่จำเลยฎีกาว่า ตามสัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย จ.3 หรือ จ.10ข้อ 10 ได้ระบุว่า ถ้าผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระค่าเช่าซื้องวดหนึ่งงวดใด ผู้เช่าซื้อตกลงยินยอมให้ถือว่าสัญญานี้เป็นอันสิ้นสุดทันที่สัญญาเช่าซื้อที่ทำกันไว้จึงเป็นอันเลิกกันคู่สัญญาแต่ละฝ่ายจะต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะเดิม แต่ไม่กระทบถึงสิทธิเรียกค่าเสียหาย ดังนั้น เมื่อสัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย จ.3 หรือจ.10 เลิกกันแล้ว โจทก์และจำเลยย่อมกลับคืนสู่ฐานะเดิม คงเรียกร้องกันได้ในเรื่องค่าเสียหายในทางแพ่งเท่านั้น แม้ตามสัญญาข้อ 10ระบุอีกว่า เมื่อสัญญาเช่าซื้อเลิกกันแล้วผู้เช่าซื้อยินยอมให้เงินค่าเช่าซื้อที่ชำระแล้วตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ให้เช่าซื้อ และผู้เช่าซื้อยินยอมชำระเงินค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระ ก็เป็นเพียงการกำหนดความรับผิดนอกเหนือไปจากสัญญาเช่าซื้อ เมื่อสัญญาเช่าซื้อเลิกกันแล้วมูลหนี้ในคดีจึงสิ้นความผูกพันไปก่อนศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุด ให้ถือว่าคดีเลิกกัน ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 7 นั้น เห็นว่า เช็คพิพาทเป็นเช็คที่จำเลยได้ออกให้แก่โจทก์ ตามสัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย จ.3หรือ จ.10 ในขณะมีมูลหนี้ต่อกัน เมื่อโจทก์เรียกเก็บเงินตามเช็คพิพาทซึ่งจ่ายชำระเงินค่าเช่าซื้องวดแรกและธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน แม้สัญญาเช่าซื้อจะเลิกกันแต่มูลหนี้ค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระตามเช็คพิพาทยังคงมีอยู่ หาได้ระงับหรือสิ้นผลผูกพันไปไม่คดีจึงยังไม่เลิกกัน แต่เนื่องจากไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับโทษจำคุกมาก่อนพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้วสมควรปรานีจำเลย จึงให้รอการลงโทษจำคุกให้จำเลย และเพื่อให้จำเลยหลาบจำ สมควรลงโทษปรับจำเลยอีกสถานหนึ่ง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษปรับจำเลยเป็นเงิน 10,000 บาทไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share