แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
หนังสือให้ความยินยอมของผู้ร้องมีข้อความให้คู่สมรสของผู้ร้องคือจำเลยที่2มีอำนาจทำนิติกรรมทุกชนิดเกี่ยวกับการจัดสินสมรสของผู้ร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1477และผู้ร้องยังให้ความยินยอมแก่จำเลยที่2ให้มีอำนาจทำนิติกรรมทุกชนิดกับธนาคารโจทก์ได้โดยให้ถือเสมือนหนึ่งเป็นการกระทำของผู้ร้องเองเมื่อจำเลยที่2ทำสัญญาค้ำประกันหนี้ของบริษัทบ. แก่โจทก์โดยผู้ร้องได้ให้ความยินยอมในภายหลังถือได้ว่าหนี้ตามสัญญาค้ำประกันที่จำเลยที่2เป็นผู้ก่อขึ้นในระหว่างสมรสผู้ร้องได้ให้สัตยาบันแล้วจึงเป็นหนี้ร่วมระหว่างผู้ร้องและจำเลยที่1ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1490(4)แต่สินส่วนตัวของภริยาไม่ใช่ทรัพย์ที่เป็นของภริยาซึ่งตามกฎหมายอาจถือได้ว่าเป็นทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาหรือเป็นทรัพย์สินที่อาจบังคับเอาชำระหนี้ตามคำพิพากษาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา282วรรคท้ายโจทก์มิได้ฟ้องผู้ร้องเป็นจำเลยผู้ร้องมิได้เป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาของโจทก์แม้หนี้ที่จำเลยที่2เป็นหนี้โจทก์จะเป็นหนี้ร่วมระหว่างจำเลยที่2กับผู้ร้องโจทก์ไม่มีอำนาจยึดที่พิพาทซึ่งเป็นสินส่วนตัวของผู้ร้องเพื่อชำระหนี้แก่โจทก์
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามชำระหนี้ตามสัญญาค้ำประกันการชำระหนี้ของบริษัทบอน์นาเฟคตี้ จำกัดศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 20,835,795.82 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 12,444,458.53 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ทั้งนี้จำเลยแต่ละคนต้องรับผิดไม่เกินวงเงินที่ค้ำประกันไว้ หากจำเลยทั้งสามไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 10253 ถึง 10265 แขวงบางบอน เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้างกับเครื่องจักรพร้อมอุปกรณ์รวม 6 เครื่อง ขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้โจทก์หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสามขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ให้โจทก์จนครบถ้วน กับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ แต่จำเลยทั้งสามไม่ชำระ โจทก์จึงขอหมายบังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 72511 แขวงบางบอน เขตบางขุนเทียนกรุงเทพมหานคร ตีราคา 5,250,000 บาท โดยอ้างว่าเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 2 กึ่งหนึ่ง เพื่อขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์ตามคำพิพากษา
ผู้ร้องยื่นคำร้องและแก้ไขเพิ่มเติมคำร้องว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 72511 แขวงบางบอน เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานครเป็นสินส่วนตัวของผู้ร้องจึงเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องแต่ผู้เดียว ที่ดินโฉนดดังกล่าวได้แบ่งแยกจากที่ดินโฉนดเลขที่25434 ซึ่งนางประพิศ กัลยกร มารดาผู้ร้อง ซื้อมาจากนายวินัย โพธิ์สุข ในราคา 1,070,000 บาท แล้วใส่ชื่อผู้ร้องกับพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันจำนวน 8 คน เพราะมารดาต้องการยกให้ระหว่างที่ผู้ร้องได้รับการยกให้นั้นผู้ร้องและจำเลยที่ 2มีเงินเดือน เดือนละ 3,000 ถึง 4,000 บาท และ 8,000 บาทตามลำดับ จึงไม่อยู่ในฐานะที่จะซื้อที่ดินดังกล่าวได้ขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ดินโฉนดเลขที่ 72511
จำเลย ขาดนัด ยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
ผู้ร้อง อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษากลับ ให้ ปล่อย ทรัพย์ ที่ ยึด
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาในชั้นนี้ว่าผู้ร้องมีสิทธิร้องขอให้เพิกถอนการยึดที่ดินโฉนดที่ 72511 ของผู้ร้องหรือไม่ คดีนี้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ที่ดินโฉนดที่ 72511เป็นสินส่วนตัวของผู้ร้อง โจทก์ไม่ได้อุทธรณ์คัดค้านคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นในส่วนนี้ ข้อเท็จจริงจึงต้องฟังว่า ที่ดินโฉนดดังกล่าวเป็นสินส่วนตัวของผู้ร้องตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อเท็จจริงจึงปรากฎตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 12085/2534ว่าศาลชั้นต้นได้พิพากษาให้จำเลยที่ 2 สามีผู้ร้องร่วมรับผิดกับจำเลยอื่นในฐานะผู้ค้ำประกันหนี้ของบริษัทบอน์นาเฟคดี้จำดัด เป็นลูกหนี้โจทก์เป็นเงิน 20 ล้านบาทเศษ คดีถึงที่สุดแล้ว จำเลยที่ 2 กับพวกไม่ปฎิบัติตามคำบังคับของศาลโจทก์จึงนำยึดที่ดินโฉนดดังกล่าวโดยอ้างว่าเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 2กึ่งหนึ่ง ขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ผู้ร้องจึงได้ร้องขัดทรัพย์ขอให้เพิกถอนการยึดอ้างว่าที่ดินโฉนดดังกล่าวเป็นสินส่วนตัวของผู้ร้อง คดีนี้โจทก์ขาดนัดยื่นคำให้การแต่ได้อ้างเอกสารหมาย จ. ซึ่งเป็นหนังสือยินยอมให้ทำนิติกรรมทุกชนิดของผู้ร้องเป็นพยาน และได้มาศาลในวันนัดสืบพยานผู้ร้อง แม้โจทก์จะไม่ได้นำเอกสารดังกล่าวมาถามค้านผู้ร้อง แต่ได้นำมาถามค้านนายขจร อุ้มปรีชา พนักงานธนาคารกสิกรไทย สาขาตลาดพลู พยานผู้ร้องพยานเบิกความรับรองว่า เป็นหนังสือให้ความยินยอมของผู้ร้องแก่จำเลยที่ 2 ทำนิติกรรมโดยผู้ร้องไม่ได้เบิกความปฎิเสธเอกสารดังกล่าว เอกสารหมาย จ.2 จึงรับฟังเป็นพยานโจทก์ได้ เห็นว่า เอกสารหมาย จ.2 มีข้อความให้คู่สมรสของผู้ร้องคือจำเลยที่ 2 มีอำนาจทำนิติกรรมทุกชนิดเกี่ยวกับการจัดการสินสมรสของผู้ร้องตามมาตรา 1477 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และผู้ร้องยังให้ความยินยอมจำเลยที่ 2 มีอำนาจทำนิติกรรมทุกชนิดกับธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด โจทก์คดีนี้ โดยให้ถือเสมือนหนึ่งเป็นการกระทำของผู้ร้องเอง โดยผู้ร้องได้ลงชื่อเป็นหลักฐานในเอกสารและผู้ร้องได้ตอบทนายโจทก์ถามค้านว่า ในการทำนิติกรรมก่อหนี้คดีนี้ ผู้ร้องให้ความยินยอมด้วย ตรงกับข้อความในเอกสารหมาย จ.2 ปรากฎตามคำฟ้องนี้ของโจทก์ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 12085/2534 ว่า จำเลยที่ 2 ได้ทำหนังสือสัญญาค้ำประกันหนี้ของบริษัทบอน์นาเฟคดี้ จำกัด เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2526ผู้ร้องได้รับความยินยอมแก่จำเลยที่ 2 ทำนิติกรรมดังกล่าวตามเอกสารหมาย จ.2 เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2526 ภายหลังการทำนิติกรรมค้ำประกันหนี้ของจำเลยที่ 2 ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าที่จำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาค้ำประกันหนี้ของบริษัทบอน์นาเฟคดี้จำกัด แก่โจทก์ โดยผู้ร้องได้ให้ความยินยอมในภายหลัง และให้ถือเสมือนหนึ่งว่าเป็นการกระทำของผู้ร้องเอง ถือได้ว่า หนี้ตามสัญญาค้ำประกันที่จำเลยที่ 2 เป็นผู้ก่อขึ้นในระหว่างสมรส ผู้ร้องได้ให้สัตยาบัน แล้วจึงเป็นหนี้ร่วมระหว่างผู้ร้องและจำเลยที่ 2ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1490 (4) แต่สินส่วนตัวของภริยาไม่ใช่ทรัพย์สินที่เป็นของภริยาไม่ใช่ทรัพย์สินที่เป็นของภริยาซึ่งตามกฎหมายอาจถือได้ว่าเป็นทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษา หรือเป็นทรัพย์สินที่อาจบังคับเอาชำระหนี้ตามคำพิพากษาได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 282 วรรคท้ายโจทก์มิได้ฟ้องผู้ร้องเป็นจำเลย ผู้ร้องมิได้เป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาของโจทก์ แม้หนี้ที่จำเลยที่ 2 เป็นหนี้โจทก์จะเป็นหนี้ร่วมระหว่างจำเลยที่ 2 กับผู้ร้อง โจทก์ก็ไม่มีอำนาจยึดที่พิพาทซึ่งเป็นสินส่วนตัวของผู้ร้องเพื่อชำระหนี้แก่โจทก์ตามนัยคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1652/2522 ระหว่าง ห้างหุ้นส่วนจำกัดสยามการยนต์กับพวก โจทก์ นายอาคม ไชยศิริ กับพวก จำเลยศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน