คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 358/2531

แหล่งที่มา : 1

ย่อสั้น

ผู้เสียหายถูกคนร้ายยิงบาดเจ็บและแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจภายหลังออกจากโรงพยาบาลแล้วว่า จำเลยที่ 2 เป็นคนร้ายที่ยิงผู้เสียหายคนหนึ่ง ก็เพราะกลัวว่าจะเกิดอันตรายแก่ผู้เสียหายและภริยาซึ่งร่วมอยู่ในที่เกิดเหตุ ผู้เสียหายจึงบอกภริยาขณะรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลว่า อย่างเพิ่งบอกความจริงต่อเจ้าพนักงานตำรวจ ประกอบกับผู้เสียหายและเด็กหญิง ข. บุตรซึ่งเป็นประจักษ์พยานต่างเป็นญาติกับจำเลยที่ 1 ดังนั้น การที่ภริยาและเด็กหญิง ข. มิได้แจ้งความในทันทีทันใดจึงไม่เป็นข้อพิรุธ ศาลรับฟังพยานหลักฐานของโจทก์ได้.(ที่มา-ส่งเสริม)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา288, 289, 80 และ 83 ริบของกลาง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 และ 80 ประกอบกับมาตรา 83 จำคุก 12 ปี ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 ริบของกลาง
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘โจทก์มีผู้เสียหาย นางอุไรภรรยาและเด็กหญิงขวัญเรือนบุตรสาวประจักษ์พยานโจทก์เบิกความว่า จำเลยที่1 ถืออาวุธปืนเข้ามาเอามือจับไหล่ผู้เสียหายและใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหาย เห็นจำเลยที่ 1 ด้วยแสงไฟจากไฟหน้ารถยนต์บรรทุก10 ล้อที่จอดห่างจากหน้าบ้านผู้เสียหายประมาณ 15 วา เป็นรถของพวกที่มาดูภาพยนตร์และกำลังจะพากันกลับไปบ้าน เมื่อผู้เสียหายรักษาตัวหายแล้วได้ไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจว่า จำเลยที่ 1 เป็นคนร้ายที่ยิงผู้เสียหายคนหนึ่ง ศาลฎีกาเห็นว่า ผู้เสียหาย นางอุไรและเด็กหญิงขวัญเรือนรู้จักจำเลยที่ 1มาก่อน จำเลยที่ 1 มีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องกับผู้เสียหายเด็กหญิงขวัญเรือนมีอายุ 10 ปี เรียนหนังสืออยู่ชั้นประถมปีที่ 4 ย่อมสามารถจดจำเหตุการณ์ได้แล้ว จำเลยที่ 1 ก็รับว่าเป็นญาติกับผู้เสียหายโดยบิดาของผู้เสียหายเป็นพี่ชายของมารดาจำเลยที่ 1 ดังนั้นที่ผู้เสียหายนางอุไรและเด็กหญิงขวัญเรือนเห็นจำเลยที่ 1 เป็นคนยิงผู้เสียหาย จึงมีน้ำหนักให้รับฟังได้หากไม่จริงแล้ว ผู้เสียหาย นางอุไรและเด็กหญิงขวัญเรือนคงจะไม่กลั่นแกล้งใส่ร้ายจำเลยที่ 1 เพราะเป็นญาติกัน ขณะที่ผู้เสียหายรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลไม่กล้าระบุชื่อจำเลยที่1 และผู้เสียหายบอกนางอุไรว่าอย่าเพิ่งบอกความจริงต่อเจ้าพนักงานตำรวจเพราะกลัวจะเกิดอันตรายแก่ผู้เสียหายและภรรยาของตนอีกนั้นขณะนั้นผู้เสียหายก็ยังไม่แน่ว่าจะมีชีวิตอยู่รอดต่อไปหรือไม่ การที่นางอุไรและเด็กหญิงขวัญเรือนไม่ระบุชื่อคนร้ายในทันทีทันใดก็มีเหตุผลสมควรรับฟังได้ เพราะเป็นไปได้ที่ผู้เสียหายอาจกลัวว่าจะเกิดอันตรายแก่ครอบครัวของตนอย่างผู้เสียหายเบิกความจึงไม่เป็นข้อพิรุธถึงขนาดที่จะไม่รับฟังพยานหลักฐานของโจทก์เสียเลยทีเดียว ที่จำเลยที่1 นำสืบว่า คืนเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ป่วยปวดท้องไปรักษาตัวและนอนค้างคืนอยู่ที่สถานีอนามัยตำบลห้วยงูนั้น ไม่มีน้ำหนักพอจะหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ เพราะพยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักรับฟังได้มั่นคงดังที่วินิจฉัยมาข้างต้น ฎีกาของจำเลยที่ 1ฟังไม่ขึ้น’
พิพากษายืน.

Share