คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 615/2531

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

สัญญาเช่าซื้อระบุว่า ถ้าผู้เช่าซื้อผิดนัดค้างชำระค่าเช่าซื้อสองงวดติดต่อกัน หรือผิดนัดค้างชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่สองงวดขึ้นไป ให้สัญญาเช่าซื้อเป็นอันยกเลิกเพิกถอนทันทีโดยไม่ต้องบอกกล่าวให้ผู้เช่าซื้อทราบล่วงหน้า แต่การที่จำเลยค้างชำระค่าเช่าซื้อ 2 งวดติดต่อกันแล้ว โจทก์ยังยอมรับชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระโดยมิได้ทักท้วง ย่อมแสดงว่า ในทางปฏิบัติโจทก์จำเลยมิได้ถือเอากำหนดเวลาชำระค่าเช่าซื้อเป็นสาระสำคัญต่อไป เมื่อจำเลยมิได้ชำระค่าเช่าซื้อตามกำหนดเวลาในสัญญา จะถือว่าจำเลยผิดนัดและสัญญาเช่าซื้อยกเลิกเพิกถอนไปไม่ได้หากโจทก์ประสงค์จะเลิกสัญญา โจทก์จะต้องบอกกล่าวให้จำเลยชำระค่าเช่าซื้อภายในกำหนดเวลาที่สมควร ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 387 เสียก่อน
การที่โจทก์ยึดรถคันเช่าซื้อคืนเพราะเหตุที่จำเลยไม่ชำรค่าเช่าซื้องวดต่อมา และจำเลยยินยอมให้ยึดโดยไม่ได้โต้แย้งถือได้ว่าโจทก์จำเลยต่างสมัครใจที่จะเลิกสัญญากันโดยปริยายนับแต่วันที่โจทก์ยึดรถคันเช่าซื้อคืน คู่สัญญาจำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม.(ที่มา-ส่งเสริม)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยผิดสัญญาเช่าซื้อ ขอให้จำเลยชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระและค่าเสียหาย
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง และได้มีการแปลงหนี้ใหม่ ทำให้จำเลยไม่ต้องผูกพันตามสัญญาเช่าซื้อ อีกทั้งฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษา ให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ 275,000 บาท ให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7 ครึ่งต่อปี จากต้นเงิน275,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยชำระค่าฤชาธรรมเนียมโดยกำหนดค่าทนายความ 2,000 บาท แทนโจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 1,200บาท แทนโจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘…ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า สัญญาเช่าซื้อซึ่งทำกันเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2526 กำหนดให้จำเลยชำระค่าเช่าซื้อที่เหลือจากการชำระเงินดาวน์เป็นงวด รวม 14 งวด งวดแรกชำระวันที่ 30 กันยายน 2526 งวดต่อไปชำระทุกวันที่ 30 ของเดือนถัดไปทุกเดือนจนกว่าจะชำระครบ แต่จำเลยค้างชำระค่าเช่าซื้อ 4 งวดติดต่อกัน แล้วจึงชำระงวดเดียวเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2527 เป็นเงิน 43,750 บาท และโจทก์ยึดรถคันเช่าซื้อคืนจากจำเลยเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2527 ศาลฎีกาเห็นว่า แม้สัญญาเช่าซื้อ ข้อ 12วรรคสอง จะระบุว่า ‘การชำระค่าเช่าซื้อตรงตามกำหนดเวลาเป็นสาระสำคัญของสัญญานี้ ถ้าผู้เช่าซื้อผิดนัดค้างชำระค่าเช่าซื้อสองงวดติดต่อกัน หรือผิดนัดค้างชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่สองงวดขึ้นไป…ให้สัญญาเช่าซื้อฉบับนี้เป็นอันยกเลิกเพิกถอนทันที โดยไม่ต้องบอกกล่าวให้ผู้เช่าซื้อทราบล่วงหน้า …ฯลฯ’ แต่การที่จำเลยค้างชำระค่าเช่าซื้อ 2 งวดติดต่อกันแล้วโจทก์จำเลยยังคงปฏิบัติต่อกันเสมือนหนึ่งว่าสัญญาเช่าซื้อนั้นยังใช้บังคับอยู่ โดยเฉพาะเมื่อจำเลยนำค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระมาชำระเพียงงวดเดียวเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2527 โจทก์ก็ยอมรับไว้เป็นการชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระโดยมิได้ทักท้วงพฤติการณ์เช่นนี้ย่อมแสดงว่า ในทางปฏิบัติโจทก์จำเลยมิได้ถือเอากำหนดเวลาชำระค่าเช่าซื้อตามสัญญาเป็นสาระสำคัญต่อไป ดังนี้เมื่อจำเลยมิได้ชำระค่าเช่าซื้อตามกำหนดเวลาในสัญญา จะถือว่าจำเลยผิดนัดผิดสัญญาและสัญญาเช่าซื้อยกเลิกเพิกถอนไปไม่ได้ ในกรณีนี้หากโจทก์ประสงค์จะเลิกสัญญา โจทก์จะต้องบอกกล่าวให้จำเลยชำระค่าเช่าซื้อภายในกำหนดเวลาที่สมควร ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 387 เสียก่อน เมื่อจำเลยไม่ชำระจึงจะบอกเลิกสัญญาได้ ซึ่งคดีนี้ไม่ปรากฏว่าหลังจากนั้นโจทก์ได้บอกเลิกสัญญากับจำเลยเลย อย่างไรก็ตาม การที่โจทก์ยึดรถคันเช่าซื้อคืนเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2527 เพราะเหตุที่จำเลยไม่ชำระค่าเช่าซื้องวดต่อมา และจำเลยก็ยินยอมให้ยึดโดยไม่ได้โต้แย้ง เป็นพฤติการณ์ที่ถือได้ว่า โจทก์จำเลยต่างสมัครใจที่จะเลิกสัญญากันโดยปริยายนับแต่วันที่โจทก์ยึดรถคันเช่าซื้อคืนคู่สัญญาจำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม ดังนั้น เมื่อจำเลยได้ใช้รถคันเช่าซื้อมาตั้งแต่วันทำสัญญาเช่าซื้อ คือวันที่ 15 สิงหาคม2526 จนถึงวันที่ 30 พฤษภาคม 2527 โดยชำระค่าเช่าซื้อที่เหลือจากการชำระเงินดาวน์ให้โจทก์เพียงงวดเดียว เห็นได้ว่า โจทก์ย่อมเสียหายเนื่งอจากไม่ได้ใช้รถในระยะเวลานั้น จำเลยจึงต้องชดใช้ค่าใช้ทรัพย์ให้โจทก์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา391 วรรคสาม เมื่อพิจารณาถึงระยะเวลาที่จำเลยได้ใช้รถคันเช่าซื้อประกอบกับอัตราค่าเช่าซื้อซึ่งเป็นค่าที่จำเลยได้ใช้รถรวมกับราคารถคันเช่าซื้อแล้ว เห็นควรให้จำเลยชดใช้ค่าใช้ทรัพย์ให้โจทก์จำนวน 150,000 บาท ที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดให้จำเลยชดใช้จำนวน 275,000 บาทนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ 150,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7 ครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ กับใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 1,500 บาท (หนึ่งพันห้าร้อยบาท) แทนโจทก์’.

Share