คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1846/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยผิดสัญญาเช่าซื้อ โดยบรรยายฟ้องว่า เมื่อสัญญาเช่าซื้อเลิกกัน จำเลยยอมส่งมอบทรัพย์สินที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์ ถ้าไม่ส่งมอบจำเลยยอมชำระค่าเสียหายที่โจทก์ต้องขาดประโยชน์ที่ควรจะได้ ซึ่งคำบรรยายฟ้องดังกล่าวตรงตามข้อตกลงในสัญญาเช่าซื้อ ดังนั้น เมื่อโจทก์ขอแก้ไขฟ้องเรียกค่าเสียหายที่จำเลยไม่ส่งมอบทรัพย์ที่เช่าซื้อคืนภายหลังจากสัญญาเช่าซื้อเลิกกันแล้วจึงเป็นค่าเสียหายอันเกิดจากข้อตกลงในสัญญาเช่าซื้อ มิใช่แก้ไขให้จำเลยรับผิดฐานละเมิดดังที่จำเลยฎีกา การแก้ไขฟ้องของโจทก์จึงเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องให้บริบูรณ์และเกี่ยวข้องกับฟ้องเดิม ทั้งมิได้ทำให้ประเด็นแห่งคดีเปลี่ยนแปลงไปศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์แก้ไขฟ้องจึงชอบแล้ว
โจทก์เช่าที่ดินของ ท. เพื่อปลูกสร้างสิ่งปลูกสร้างแล้วนำไปให้จำเลยเช่าซื้อ ตามสัญญาเช่าซื้อโจทก์จะโอนสิ่งปลูกสร้างและสิทธิการเช่าที่ดินให้จำเลยในวันที่จำเลยชำระค่าเช่าซื้องวดสุดท้าย เมื่อจำเลยผิดสัญญาเช่าซื้อและมีการเลิกสัญญาเช่าซื้อกันเสียก่อน จำเลยยังมิได้รับโอนสิทธิการเช่าไปจากโจทก์ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยยังครอบครองสิ่งปลูกสร้างและทรัพย์สินในสิ่งปลูกสร้างนั้นอยู่และหลังจากสัญญาเช่าซื้อเลิกกัน เจ้าของที่ดินได้ขายที่ดินให้บุคคลอื่นไปแล้ว ดังนั้นจึงไม่อยู่ในวิสัยที่จำเลยจะนำสิ่งปลูกสร้างกับทรัพย์สินที่อยู่ในสิ่งปลูกสร้างที่เช่าซื้อมาส่งมอบให้แก่โจทก์ได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญาเช่าซื้อเครื่องทำไอศกรีมพร้อมทั้งอุปกรณ์และยานพาหนะขนส่งรวม ๑๕ รายการไปจากโจทก์ และได้ผิดสัญญาเช่าซื้อตั้งแต่งวดที่ ๓ ซึ่งถือว่าสัญญาเลิกกัน จำเลยยังคงครอบครองทรัพย์สินที่เช่าซื้อไม่ยอมส่งมอบแก่โจทก์ ทำให้โจทก์ขาดประโยชน์ที่ควรจะได้จากทรัพย์สินดังกล่าว รวมเป็นเงิน ๓๕๒,๕๐๐ บาท ขอศาลบังคับให้จำเลยชำระค่าเสียหาย ๓๕๒,๕๐๐ บาทพร้อมดอกเบี้ย และให้จำเลยส่งมอบทรัพย์สินที่เช่าซื้อคืนในสภาพเรียบร้อย หากคืนไม่ได้ให้ชดใช้ราคาเป็นเงิน ๒๕๐,๐๐๐ บาท
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่ได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่เช่าซื้อ สัญญาเช่าซื้อไม่มีผลบังคับ สัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์กับจำเลยยังไม่เลิก โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง และฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยส่งมอบทรัพย์สินตามที่ระบุไว้ในสัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย จ.๒ ข้อ ๑ (๓) (๔) (๕) (๖) (๗) (๙) (๑๐)(๑๒) (๑๓) (๑๔) (๑๖) คืนโจทก์ในสภาพใช้การได้ คำขอนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่า คำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องของโจทก์ฉบับลงวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๒๕ ได้ขอแก้ไขให้จำเลยรับผิดฐานละเมิดชดใช้ค่าเสียหาย อันเป็นคนละข้อหาคนละเรื่องแตกต่างจากข้อหาและคำขอบังคับตามฟ้องเดิม ซึ่งมีข้อหาผิดสัญญาเช่าซื้อ มิใช่เป็นการสละข้อหาในฟ้องเดิม หรือเพิ่มเติมฟ้องให้สมบูรณ์ หากแต่เป็นการตั้งข้อหาใหม่ เปลี่ยนแปลงข้อหาฐานความผิดเดิมทั้งหมด คำสั่งของศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้โจทก์แก้ไขเพิ่มเติมฟ้องได้ตามคำร้องของโจทก์จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๙ นั้น พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าโจทก์ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยผิดสัญญาเช่าซื้อโดยผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อ ๒ งวด ติดต่อกัน สัญญาเช่าซื้อจึงเลิกกันโดยมิต้องบอกกล่าว และได้บรรยายฟ้องข้อ ๔ มีใจความว่า เมื่อสัญญาเช่าซื้อเลิกกันแล้ว จำเลยยอมให้โจทก์ริบเงินค่าเช่าซื้อที่ได้ชำระไว้แล้ว และจำเลยยอมส่งมอบทรัพย์สินที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์ ถ้าไม่ส่งมอบคืนให้ถือว่าจำเลยครอบครองโดยมิชอบจำเลยยอมชำระเงินค่าเช่าซื้อหรือค่าเสียหายที่โจทก์ต้องขาดประโยชน์ที่ควรจะได้จากทรัพย์สินที่จำเลยไม่ส่งคืนทันทีอย่างใดอย่างหนึ่งตามแต่จะเลือก แต่จำเลยไม่ส่งมอบทรัพย์สินที่เช่าซื้อตามรายการในสัญญาเช่าซื้อคืนโจทก์ ทำให้โจทก์เสียหายต้องขาดประโยชน์ที่ควรได้จากการเช่าทรัพย์สินดังกล่าว โดยโจทก์อาจนำทรัพย์สินที่ให้เช่าซื้อออกให้เช่าจะได้ค่าเช่าตามปกติเดือนละ ๒๕,๐๐๐ บาท ซึ่งตามคำบรรยายฟ้องดังกล่าวตรงตามข้อตกลงของโจทก์จำเลยในสัญญาเช่าซื้อ ข้อ ๗ ค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องจากจำเลยตามคำร้องขอแก้ไขฟ้องของโจทก์ข้างต้นเป็นค่าเสียหายที่จำเลยไม่ส่งมอบทรัพย์สินที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์ ยังคงครอบครองทรัพย์สินของโจทก์ที่ให้จำเลยเช่าซื้อตลอดมาภายหลังจากสัญญาเช่าซื้อเลิกกันแล้ว ทำให้โจทก์ขาดประโยชน์ที่ควรจะได้จึงเป็นค่าเสียหายอันเกิดจากข้อตกลงในสัญญาเช่าซื้อ มิใช่แก้ไขให้จำเลยรับผิดฐานละเมิดดังที่จำเลยฎีกา ดังนั้น การแก้ไขฟ้องของโจทก์ที่เกี่ยวกับข้อหาหรือฐานความผิดก็ดี เกี่ยวกับคำขอบังคับก็ดีตามคำร้องของโจทก์ เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องให้บริบูรณ์และคำฟ้องที่ขอแก้ไขก็เกี่ยวข้องกับคำฟ้องเดิม ทั้งมิได้ทำให้ประเด็นแห่งคดีเปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด จำเลยมีโอกาสที่จะซักค้านพยานโจทก์และนำสืบพยานของตนได้เต็มที่จึงไม่ทำให้จำเลยเสียเปรียบและหลงข้อต่อสู้ ส่วนเหตุที่โจทก์ขอแก้ไขฟ้อง โจทก์ได้อ้างไว้แล้วว่าเนื่องจากฟ้องของโจทก์มีข้อบกพร่องบางประการซึ่งก็เป็นการเพียงพอแล้วคำสั่งของศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้โจทก์แก้ไขฟ้องได้ตามคำร้องของโจทก์ดังกล่าว จึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
ที่จำเลยฎีกาว่า ทรัพย์สินที่เช่าซื้อตามสัญญาเช่าซื้อ ข้อ ๑รายการที่ (๑๓) และ (๑๖) เป็นสิ่งปลูกสร้างอันเป็นส่วนควบอยู่ในที่ดินของบุคคลภายนอก ซึ่งที่ดินดังกล่าวได้มีการโอนกรรมสิทธิ์ไปยังบุคคลอื่นก่อนโจทก์ฟ้องคดีนี้แล้วโดยโจทก์ทราบดีและมิใช่ความผิดของจำเลยจึงเป็นการพ้นวิสัยที่จำเลยจะปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ได้ คำพิพากษาของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์จึงไม่ชอบนั้น เห็นว่า ตามคำนายนิยม กุลกาลยืนยง ผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์ได้ความว่าสิ่งปลูกสร้างรายการที่ (๑๓) โจทก์เป็นผู้เช่าที่ดินของนางทับทิม เล็กอารี ปลูกสร้างขึ้นมา โจทก์จึงเป็นผู้มีสิทธิที่จะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวออกไปจากที่ดินของนางทับทิมได้เมื่อหมดอายุการเช่าตามสัญญา เว้นแต่สัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับนางทับทิมจะระบุไว้เป็นอย่างอื่น ส่วนอุปกรณ์ไฟฟ้า ประปา และทรัพย์สินต่างๆ ที่อยู่ในสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวตามรายการที่(๑๖) ก็เป็นสิทธิของโจทก์ที่จะรื้อถอนไปได้ในทำนองเดียวกันสิ่งปลูกสร้างรายการที่ (๑๓) และปรากฏตามสัญญาเช่าซื้อข้อ ๙และข้อ ๑๐ ว่า โจทก์จะโอนกรรมสิทธิ์สิ่งปลูกสร้าง สิทธิการเช่าที่ดินให้จำเลยในวันที่จำเลยชำระเงินค่าเช่าซื้องวดสุดท้ายแต่เมื่อจำเลยผิดสัญญาเช่าซื้อและสัญญาเช่าซื้อเลิกกันเสียก่อนกำหนดชำระเงินค่าเช่าซื้องวดสุดท้าย จำเลยยังมิได้รับโอนสิทธิการเช่าที่ดินไปจากโจทก์ ทั้งไม่ปรากฏจากพยานโจทก์ว่า จำเลยยังครอบครองสิ่งปลูกสร้างตามรายการที่ (๑๓) และทรัพย์สินต่างๆ ตามรายการที่ (๑๖) อยู่ และข้อเท็จจริงยังได้ความจากนายนิยมพยานโจทก์ต่อไปว่า หลังจากสัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์จำเลยเลิกกัน และเกินกำหนดที่จำเลยจะชำระค่าเช่าซื้องวดสุดท้ายแล้ว นางทับทิมจึงได้ขายที่ดินไปให้บุคคลอื่นดังนั้น จึงไม่อยู่ในวิสัยที่จำเลยจะนำสิ่งปลูกสร้างตามรายการที่ (๑๓) กับทรัพย์สินที่เช่าซื้อตามรายการที่ (๑๖) มาส่งมอบให้กับโจทก์ได้
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับสิ่งปลูกสร้างตามรายการที่ (๑๓) กับทรัพย์สินที่เช่าซื้อตามรายการที่ (๑๖)อีกด้วยนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์.

Share