คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3567/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

น. ผู้ตายทำพินัยกรรมยกที่ดินแปลงที่ 1 ที่ 3 ซึ่งเป็นที่ดิน น.ส. 3 และที่ดินแปลงที่ 4 ซึ่งเป็นที่ดินมีโฉนดให้แก่โจทก์ทั้งสองและนาง จ. ภริยาผู้ตาย ส่วนที่ดินแปลงที่ 2 ซึ่งเป็นที่ดิน น.ส. 3 นั้นให้ขายเพื่อนำไปใช้จัดงานศพผู้ตาย แต่เนื่องจากพินัยกรรมดังกล่าวไม่ได้ลงวัน เดือน ปี ที่ทำจึงไม่ถูกต้องตามแบบที่กำหนดตาม ป.พ.พ. มาตรา 1656 พินัยกรรมดังกล่าวจึงเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 1705 แต่ถึงแม้พินัยกรรมดังกล่าวจะเป็นโมฆะ นาง จ. ก็มีสิทธิในที่ดินดังกล่าวในฐานะคู่สมรสตาม ป.พ.พ. มาตรา 1625 และ 1635 (2)
โจทก์ทั้งสองครอบครองที่ดินแปลงที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ร่วมกับนาง จ. มาตลอด โดยถือว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของตนตามพินัยกรรม และโจทก์ทั้งสองได้ครอบครองที่ดินแปลงที่ 2 โดยถือว่าเป็นของตนตามที่นาง จ. ยกให้เนื่องจากโจทก์ทั้งสองได้จ่ายค่าจัดงานศพของ น. แม้พินัยกรรมของ น. จะเป็นโมฆะ และการยกให้ของนาง จ. จะไม่สมบูรณ์เนื่องจากมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ แต่การครอบครองที่ดินของโจทก์ทั้งสองก็เป็นการครอบครองโดยเจตนายึดถือเพื่อตน โจทก์ทั้งสองจึงได้สิทธิครอบครองในที่พิพาทแปลงที่ 1 และที่ 3 ครึ่งหนึ่ง กับได้สิทธิครอบครองที่ดินแปลงที่ 2 ตามที่นาง จ. ยกให้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1367 ส่วนที่ดินแปลงที่ 4 โจทก์ทั้งสองก็ได้ครอบครองร่วมกับนาง จ. โดยสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเป็นเวลากว่า 10 ปี โจทก์ทั้งสองจึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 ตามส่วนที่ น. ทำพินัยกรรมให้

ย่อยาว

คดีทั้งสองสำนวนศาลชั้นต้นสั่งให้พิจารณาพิพากษารวมกัน ให้เรียกโจทก์ที่ 1 ในสำนวนคดีแรก ซึ่งเป็นจำเลยในสำนวนคดีหลังว่า โจทก์ที่ 1 เรียกโจทก์ที่ 2 ในสำนวนคดีแรกว่า โจทก์ที่ 2 และเรียกจำเลยในสำนวนคดีแรก ซึ่งเป็นโจทก์ในสำนวนคดีหลังว่า จำเลย
สำนวนแรก โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่า โจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของผู้มีสิทธิคนละส่วนเท่า ๆ กันในที่ดิน น.ส. 3 เลขที่ 36 ตำบลน้ำปลีก อำเภออำนาจเจริญ จังหวัดอุบลราชธานี น.ส. 3 เลขที่ 35 ตำบลน้ำปลีก อำเภออำนาจเจริญ จังหวัดอุบลราชธานี น.ส. 3 เลขที่ 297 ตำบลนาหมอม้า อำเภออำนาจเจริญ จังหวัดอุบลราชธานี และเป็นเจ้าของที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินโฉนดเลขที่ 38 ตำบลน้ำปลีก อำเภออำนาจเจริญ จังหวัดอุบลราชธานี คนละส่วนเท่า ๆ กัน ให้จำเลยไปดำเนินการจดทะเบียนโอนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ทั้งสอง โดยโจทก์ทั้งสองเป็นผู้เสียค่าธรรมเนียม หากจำเลยไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาในการจดทะเบียนโอนที่ดิน และสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินของจำเลย
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
สำนวนหลัง จำเลยฟ้องขอให้บังคับโจทก์ที่ 1 ส่งมอบโฉนดที่ดิน น.ส. 3 และ ส.ค. 1 ดังกล่าวให้แก่จำเลย หากโจทก์ที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามให้ศาลมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดอำนาจเจริญ ออกโฉนดที่ดิน น.ส. 3 และ ส.ค. 1 ให้แก่จำเลยแทน
โจทก์ที่ 1 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาโจทก์ที่ 1 ถึงแก่ความตาย โจทก์ที่ 2 ภริยาโจทก์ที่ 1 ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดิน น.ส. 3 เลขที่ 36 ตำบลน้ำปลีก อำเภออำนาจเจริญ จังหวัดอุบลราชธานี ที่ดิน น.ส. 3 เลขที่ 35 ตำบลน้ำปลีก อำเภออำนาจเจริญ จังหวัดอุบลราชธานี ที่ดิน น.ส. 3 เลขที่ 297 ตำบลนาหมอม้า อำเภออำนาจเจริญ จังหวัดอุบลราชธานี ที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 38 ตำบลน้ำปลีก อำเภออำนาจเจริญ จังหวัดอุบลราชธานี และสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินเป็นของโจทก์ทั้งสอง คำขออื่นให้ยก ยกฟ้องจำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความทั้งสองสำนวนให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า เฉพาะที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 38 ตำบลน้ำปลีก อำเภออำนาจเจริญ จังหวัดอุบลราชธานี เป็นที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 240 ตำบลน้ำปลีก อำเภออำนาจเจริญ จังหวัดอุบลราชธานี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า นายนิลและนางจันทร์เป็นสามีภริยากันไม่มีบุตร นายนิลและนางจันทร์ขอโจทก์ที่ 1 มาเลี้ยง โจทก์ที่ 2 เป็นภริยาของโจทก์ที่ 1 ที่ดินพิพาททั้งสี่แปลงมีชื่อนายนิลเป็นเจ้าของ นายนิลถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2516 นางจันทร์ถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2530 ปัจจุบันโจทก์ทั้งสองเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท จำเลยเป็นบุตรของนายบินน้องนายนิลและเป็นผู้จัดการมรดกของนายนิลตามคำสั่งศาลชั้นต้น ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่า ที่ดินพิพาททั้งสี่แปลงเป็นของโจทก์ทั้งสองหรือเป็นมรดกของนายนิล เห็นว่า นายนิลได้ทำพินัยกรรมยกที่ดินพิพาทแปลงที่ 1 ที่ 3 ซึ่งเป็นที่ดิน น.ส. 3 และที่ 4 ซึ่งเป็นที่ดินมีโฉนด ให้แก่โจทก์ทั้งสอง 1 ส่วน และนางจันทร์ 1 ส่วน แปลงที่ 2 ให้ขายเพื่อนำเงินไปใช้จัดงานศพของนายนิล แต่เนื่องจากไม่ได้ลงวันเดือนปีที่ทำ จึงไม่ถูกต้องตามแบบที่กำหนดไว้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1656 พินัยกรรมดังกล่าวเป็นโมฆะ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1705 ไม่มีผลใช้บังคับได้ แต่ถึงแม้พินัยกรรมของนายนิลจะเป็นโมฆะ นางจันทร์ก็มีสิทธิในที่ดินดังกล่าวในฐานะคู่สมรสตาม ป.พ.พ. มาตรา 1625 และ 1635 (2) โจทก์ทั้งสองได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทแปลงที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ร่วมกับนางจันทร์ โดยถือว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของตนตามพินัยกรรม และโจทก์ทั้งสองได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทแปลงที่ 2 โดยถือว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของตน ตามที่นางจันทร์ยกให้ แม้พินัยกรรมของนายนิลจะเป็นโมฆะและการยกให้ไม่สมบูรณ์เนื่องจากมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ แต่การครอบครองที่ดินพิพาทของโจทก์ทั้งสองก็เป็นการครอบครองโดยเจตนาจะยึดถือเพื่อตน โจทก์ทั้งสองจึงได้ซึ่งสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทแปลงที่ 1 และที่ 3 ครึ่งหนึ่ง ตามส่วนที่นายนิลทำพินัยกรรมยกให้ กับได้ซึ่งสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทแปลงที่ 2 ตามที่นางจันทร์ยกให้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1367 และโจทก์ทั้งสองได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทแปลงที่ 4 ร่วมกับนางจันทร์โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเป็นเวลากว่าสิบปีแล้ว โจทก์ทั้งสองจึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวในส่วนที่นายนิลทำพินัยกรรมยกให้โจทก์ทั้งสองโดยการครอบครองปรปักษ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 สำหรับที่ดินพิพาทแปลงที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ในส่วนของนางจันทร์นั้น นางจันทร์ได้ครอบครองทำประโยชน์ร่วมกับโจทก์ทั้งสองตลอดมา และเมื่อปี 2524 นางจันทร์ป่วยจึงยกที่ดินส่วนของนางจันทร์ให้โจทก์ทั้งสอง แม้การยกให้จะไม่สมบูรณ์เนื่องจากมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ แต่โจทก์ทั้งสองได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินส่วนของนางจันทร์ต่อมาโดยถือว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของตน โจทก์ทั้งสองจึงได้ซึ่งสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทแปลงที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ส่วนของนางจันทร์ด้วย
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share