แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยกับผู้เสียหายซึ่งมีอายุ 14 ปีเศษรักใคร่กันอย่างชู้สาวมารดาผู้เสียหายก็ทราบและอนุญาตให้จำเลยพาผู้เสียหายออกจากบ้านไปรับประทานอาหารเที่ยวชมภาพยนตร์กันบ้างเพื่อให้จำเลยและผู้เสียหายได้มีโอกาสอยู่ด้วยกัน และทำความรู้จักคุ้นเคยกันเพื่อประโยชน์ของการอยู่กินเป็นสามีภริยากันในวันข้างหน้า และทุกครั้งจำเลยก็จะพากลับมาส่งที่บ้าน อันเป็นการยอมรับในอำนาจการปกครองของบิดามารดาผู้เสียหายอยู่ การที่จำเลยได้ล่วงเกินทางเพศแก่ผู้เสียหายด้วยการกอดจูบรวมทั้งกระทำชำเราผู้เสียหายก็เป็นไปตามโอกาสและตามวิสัยคนรักใคร่ชอบพอกัน ซึ่งจำเลยต้องรับผิดทางอาญาในการกระทำของตนในแต่ละครั้งอยู่แล้วหากการกระทำนั้นเป็นความผิดต่อกฎหมาย แต่ยังไม่พอถือได้ว่าจำเลยพรากผู้เสียหายไปเสียจากบิดามารดาโดยปราศจากเหตุอันสมควรเพื่อการอนาจาร
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2536 เวลากลางคืนหลังเที่ยงจำเลยพรากเด็กหญิงฉันทนา ประทุมวงศ์ ผู้เสียหาย อายุ 14 ปีเศษ ไปเสียจากนายอนันต์ ปทุมวงศ์และนางกัญ ไทยสมัครบิดามารดาโดยปราศจากเหตุอันควรเพื่อการอนาจารและจำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายซึ่งมิใช่ภริยาของตน โดยผู้เสียหายไม่ยินยอมวันที่ 8 สิงหาคม2536 เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยพรากเด็กหญิงฉันทนา อายุ 14 ปีเศษ ไปเสียจากนายอนันต์และนางกัญบิดามารดา โดยปราศจากเหตุอันสมควรเพื่อการอนาจารและจำเลยกอดจูบกระทำอนาจารแก่เด็กหญิงฉันทนาผู้เสียหาย อายุ 14 ปีเศษโดยเด็กหญิงฉันทนายินยอม วันที่ 15 สิงหาคม 2536 เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยพรากเด็กหญิงฉันทนา อายุ 14 ปีเศษ ไปเสียจากนายอนันต์และนางกัญบิดามารดา โดยปราศจากเหตุอันสมควรเพื่อการอนาจาร และจำเลยกระทำชำเราเด็กหญิงฉันทนาผู้เสียหาย อายุ 14 ปีเศษ ซึ่งมิใช่ภริยาของตน โดยผู้เสียหายยินยอม และวันที่ 8 กันยายน 2536 เวลากลางวัน จำเลยพรากเด็กหญิงฉันทนาอายุ 14 ปีเศษ ไปเสียจากนายอนันต์และนางกัญบิดามารดา โดยปราศจากเหตุอันสมควรเพื่อการอนาจาร และจำเลยกอดจูบกระทำอนาจารแก่เด็กหญิงฉันทนาผู้เสียหาย อายุ 14 ปีเศษ โดยเด็กหญิงฉันทนายินยอม เหตุเกิดที่ตำบลวะตะแบก อำเภอเทพสถิต จังหวัดชัยภูมิ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90, 277, 279, 317
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 277 วรรคแรก, 317 วรรคสาม การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ขณะกระทำผิดจำเลยอายุ 18 ปี ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 76 ฐานกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปี ลงโทษจำคุกกระทงละ 2 ปีรวม 2 กระทง จำคุก 4 ปี ฐานพรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ไปเพื่อการอนาจาร ลงโทษจำคุกกระทงละ 2 ปี 6 เดือน รวม 4 กระทง จำคุก 10 ปี รวมทุกกระทงให้ลงโทษจำคุก 14 ปี คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติได้ว่าขณะเกิดเหตุเด็กหญิงฉันทนาประทุมวงศ์ ผู้เสียหาย อายุ 14 ปีเศษ อยู่ในความปกครองดูแลของบิดามารดา จำเลยเป็นคนหมู่บ้านเดียวกับผู้เสียหาย จำเลยกับผู้เสียหายรักใคร่ชอบพอกันมาก่อน วันที่ 15กรกฎาคม 2536 เวลาประมาณ 21 นาฬิกา จำเลยมารับผู้เสียหายออกจากบ้านไปรับประทานอาหาร หลังจากรับประทานอาหารแล้ว จำเลยพาผู้เสียหายไปที่เล้าไก่ของมารดาจำเลยและกระทำชำเราผู้เสียหาย 1 ครั้ง วันที่ 8 สิงหาคม 2536 เวลาประมาณ20 นาฬิกา จำเลยมารับผู้เสียหายออกจากบ้านไปรับประทานอาหาร หลังจากนั้นก็ขับรถพาผู้เสียหายไปเที่ยวเล่นและกอดจูบผู้เสียหายวันที่ 15 สิงหาคม 2536 เวลาประมาณ 21 นาฬิกา จำเลยมารับผู้เสียหายออกจากบ้านไปรับประทานอาหาร หลังจากนั้นจำเลยพาผู้เสียหายไปที่เล้าไก่ของมารดาจำเลยและกระทำชำเราผู้เสียหาย1 ครั้ง และวันที่ 8 กันยายน 2536 จำเลยมารับผู้เสียหายออกจากบ้านขับรถพาผู้เสียหายไปเที่ยวและกอดจูบผู้เสียหาย การพาผู้เสียหายออกจากบ้านแต่ละครั้ง นางกัญ ไทยสมัครมารดาผู้เสียหายรับรู้และอนุญาตแล้วทุกครั้ง มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยเพียงว่าการกระทำของจำเลยในวันที่ 15 กรกฎาคม 2536 วันที่ 8 สิงหาคม 2536 วันที่ 15 สิงหาคม 2536 และวันที่ 8 กันยายน 2536 เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคสาม ดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามาหรือไม่ จำเลยฎีกาว่า การที่จำเลยพาผู้เสียหายไปทุกครั้ง จำเลยได้รับอนุญาตหรือได้รับความยินยอมจากมารดาผู้เสียหายแล้ว จำเลยย่อมไม่มีความผิดในข้อหานี้นั้น เห็นว่าจำเลยกับผู้เสียหายรักใคร่ชอบพอกันอย่างชู้สาวนางกัญมารดาผู้เสียหายเบิกความว่าเมื่อปี 2536 จำเลยขับรถมาส่งน้ำที่บ้านและรู้จักผู้เสียหายโดยมาจีบผู้เสียหาย แสดงว่านางกัญก็ทราบว่าจำเลยมาชอบพอรักใคร่กับผู้เสียหาย การที่นางกัญยินยอมและอนุญาตให้จำเลยพาผู้เสียหายออกจากบ้านตามวันเวลาที่เกิดเหตุแต่ละครั้ง โดยอนุญาตให้ไปรับประทานอาหารกันบ้างไปเที่ยวชมภาพยนต์กันบ้าง เป็นที่เห็นได้ว่านางกัญต้องการให้จำเลยและผู้เสียหายได้มีโอกาสอยู่ด้วยกันและทำความรู้จักคุ้นเคยกัน เพื่อได้ศึกษานิสัยใจคอซึ่งกันและกันเพื่อประโยชน์ของการอยู่กินเป็นสามีภริยากันในวันข้างหน้าและทุกครั้งจำเลยก็จะพาผู้เสียหายกลับมาส่งที่บ้าน แม้บางครั้งจะกลับล่าช้าและดึกไปบ้าง แต่ก็แสดงให้เห็นว่าจำเลยยังยอมรับในอำนาจการปกครองของบิดามารดาผู้เสียหายอยู่ การที่จำเลยได้ล่วงเกินทางเพศแก่ผู้เสียหายด้วยการกอดจูบ รวมทั้งกระทำชำเราผู้เสียหายในวันเกิดเหตุแต่ละครั้งก็เป็นไปตามโอกาสและตามวิสัยคนรักใคร่ชอบพอกัน ซึ่งจำเลยต้องรับผิดทางอาญาในการกระทำของตนในแต่ละครั้งอยู่แล้วหากการกระทำนั้นเป็นความผิดต่อกฎหมาย การกระทำของจำเลยยังไม่พอถือได้ว่าจำเลยพรากผู้เสียหายไปเสียจากบิดามารดาโดยปราศจากเหตุอันสมควร เพื่อการอนาจารที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 317 วรรคสาม รวม 4 กระทง ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 317 วรรคสาม นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3