แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินตาม น.ส.3 ประมาณ 17 ไร่ จำเลยมีคำสั่งให้แก้ไขเนื้อที่ดินของโจทก์ด้านทิศเหนือเป็นเนื้อที่ 2 ไร่ 20 ตารางวา โดยอ้างว่าน.ส.3 ของโจทก์เฉพาะที่ดินส่วนนั้นออกทับหนองน้ำสาธารณประโยชน์ และมีคำขอให้ศาลพิพากษาว่า ที่ดินพิพาทเนื้อที่ 2 ไร่ 20 ตารางวา เป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตาม น.ส.3ที่โจทก์มีสิทธิครอบครอง เท่ากับกล่าวอ้างว่าคำสั่งเพิกถอนของจำเลยมีผลให้โจทก์ไม่มีสิทธิครอบครองในที่ดินส่วนที่ถูกเพิกถอน ซึ่งถ้าหากศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีย่อมมีผลให้โจทก์ได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทกลับคืนมา คดีของโจทก์ในส่วนนี้จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ เป็นคดีมีทุนทรัพย์แม้โจทก์จะมีคำขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ให้แก้ไข น.ส.3 ของโจทก์และขอให้ห้ามจำเลยเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์อีกต่อไปก็ตาม แต่การที่ศาลจะเพิกถอนคำสั่งของจำเลยต้องได้ความก่อนว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ มิใช่หนองน้ำสาธารณประโยชน์ดังนั้น คำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้จึงเป็นคำขออันเป็นประธาน เมื่อที่ดินพิพาทมีราคา 82,000 บาท ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาจึงไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริง ที่จำเลยฎีกาว่า ที่ดินพิพาทเป็นหนองน้ำสาธารณประโยชน์ และโจทก์มิได้ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยภายใน 1 ปี นับแต่โจทก์ทราบคำสั่งทำให้คดีขาดอายุความตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 นั้น ล้วนเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3) เลขที่ 60 ตำบลแกใหญ่ อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ เนื้อที่ประมาณ17 ไร่ จำเลยมีคำสั่งจังหวัดสุรินทร์ที่ 2205/2526 ให้แก้ไขเนื้อที่ของที่ดินแปลงนี้ทางด้านทิศเหนือบางส่วน เนื้อที่ 2 ไร่ 20 ตารางวา โดยอ้างว่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์ออกทับหนองน้ำสาธารณประโยชน์ “หนองสะแกชำ”โจทก์คัดค้านแล้วแต่จำเลยไม่ดำเนินการแก้ไข ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 60 ตำบลแกใหญ่ อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ เนื้อที่ 17 ไร่ เป็นของโจทก์ เพิกถอนคำสั่งจังหวัดสุรินทร์ที่ 2205/2526 เรื่อง แก้ไขหนังสือรับรองการทำประโยชน์บางส่วน และห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินอีกต่อไป
จำเลยให้การว่า ที่ดินพิพาทเป็นหนองน้ำสาธารณะ มีชื่อว่าหนองสะแกชำโจทก์นำเจ้าพนักงานที่ดินไปรังวัดขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์รวมกับที่ดินของโจทก์ซึ่งอยู่ทางทิศใต้ของหนองน้ำโดยครอบคลุมหนองน้ำไว้ด้วย จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย การที่จำเลยมีคำสั่งให้แก้ไขหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์โดยกันเขตหนองสะแกชำออกเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้เพิกถอนคำสั่งจังหวัดสุรินทร์ที่ 2205/2526เรื่อง แก้ไขหนังสือรับรองการทำประโยชน์บางส่วนเสีย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาคณะคดีปกครองวินิจฉัยว่า “โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 60 ตำบลแกใหญ่ อำเภอเมืองสุรินทร์จังหวัดสุรินทร์ เนื้อที่ประมาณ 17 ไร่ จำเลยซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายที่ดินมีคำสั่งให้แก้ไขเนื้อที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์เฉพาะด้านทิศเหนือเป็นเนื้อที่ 2 ไร่ 20 ตารางวา โดยอ้างว่า หนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์เฉพาะที่ดินส่วนนั้นออกทับหนองน้ำสาธารณประโยชน์ และมีคำขอท้ายฟ้องให้ศาลพิพากษาว่า ที่ดินพิพาทเนื้อที่ 2 ไร่ 20 ตารางวา เป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่โจทก์มีสิทธิครอบครอง ข้อเท็จจริงตามคำฟ้องของโจทก์เป็นการกล่าวอ้างว่าจำเลยซึ่งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดมีคำสั่งให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์บางส่วน โดยอ้างว่าที่ดินส่วนนั้นอยู่ในเขตหนองน้ำสาธารณประโยชน์ คำสั่งของจำเลยย่อมมีผลให้โจทก์ไม่มีสิทธิครอบครองในที่ดินส่วนที่ถูกเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ดังนั้น การที่โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยและให้ศาลแสดงสิทธิครอบครองของโจทก์อันมีอยู่เหนือที่ดินดังกล่าวย่อมมีผลให้โจทก์ได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทกลับคืนมา หากศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี คดีของโจทก์ในส่วนที่ขอให้ศาลแสดงว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทจึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้เป็นคดีมีทุนทรัพย์ แม้โจทก์จะมีคำขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ให้แก้ไขหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์บางส่วนและขอให้ห้ามจำเลยเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์อีกต่อไปซึ่งเป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้รวมอยู่ด้วยก็ตาม แต่การที่ศาลจะเพิกถอนคำสั่งของจำเลยจะต้องได้ความว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์มิใช่หนองน้ำสาธารณประโยชน์ ดังนั้น คำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้จึงเป็นคำขออันเป็นประธาน เมื่อที่ดินพิพาทมีราคา82,000 บาท ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาจึงไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่งที่จำเลยฎีกาว่าที่ดินพิพาทเป็นหนองน้ำสาธารณประโยชน์ “หนองสะแกชำ” ก็ดีและที่ฎีกาว่า โจทก์มิได้ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยภายใน 1 ปี นับแต่โจทก์ทราบคำสั่ง คดีย่อมขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 ก็ดี นั้น ล้วนเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคหนึ่ง แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งรับฎีกาของจำเลยมาก็เป็นการมิชอบศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้”
พิพากษายกฎีกาของจำเลย