คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2859/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ โดยธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน อ้างว่ามีคำสั่งให้ระงับการจ่ายเงิน แม้โจทก์จะมิได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยมีเจตนาทุจริต ในการห้ามธนาคารมิให้ใช้เงินตามเช็คแต่โจทก์ก็บรรยายฟ้องว่า จำเลยออกเช็คโดยมีเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค ฟ้องโจทก์จึงเป็นการฟ้องที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) แล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยออกเช็คโดยมีเจตนาจะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค โดยธนาคารปฏิเสธการใช้เงินอ้างว่ามีคำสั่งให้ระงับการจ่ายขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่า คดีโจทก์ไม่มีมูล พิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คำฟ้องโจทก์มิได้บรรยายว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตในการห้ามธนาคารมิให้ใช้เงินตามเช็ค คำฟ้องเช่นนี้จึงเป็นฟ้องที่ขาดองค์ประกอบความผิด เป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) พิพากษายืนโจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ในปัญหาที่ว่าฟ้องโจทก์เป็นฟ้องที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) หรือไม่นั้นศาลฎีกาเห็นว่า แม้โจทก์จะมิได้บรรยายฟ้องว่า จำเลยมีเจตนาทุจริตในการห้ามธนาคารมิให้ใช้เงินตามเช็ค แต่โจทก์ก็บรรยายฟ้องว่า จำเลยออกเช็คโดยมีเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158(5) แล้ว
ปัญหาต่อไปที่ว่าคดีโจทก์มีมูลหรือไม่นั้น โจทก์นำสืบในชั้นไต่สวนมูลฟ้องว่า โจทก์นำเช็คพิพาทหมาย จ.2 ไปเข้าบัญชีเงินฝากของโจทก์ที่ธนาคารกสิกรไทย สาขาดาวคนอง เพื่อเรียกเก็บเงินตามเช็ค และธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินในวันที่ 22 กรกฎาคม2529 อันเป็นวันออกเช็คนั้นเอง โดยให้เหตุผลว่า “มีคำสั่งให้ระงับการจ่าย” ตามใบคืนเช็คหมาย จ.3 แสดงว่าจำเลยออกเช็คโดยเจตนาไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คเช่นนี้ ศาลฎีกาเห็นว่าคดีโจทก์มีมูลแล้ว คำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ประทับฟ้องโจทก์ไว้พิจารณา ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

Share