คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3560/2549

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ผู้คัดค้านและ น. เป็นบุตรของ ม. และผู้ร้อง ม. เคยยื่นคำร้องต่อศาลขอให้ถอดถอนผู้ร้องจากการเป็นผู้จัดการมรดกของ น. เนื่องจากผู้ร้องขายที่ดินทรัพย์มรดกของ น. และเก็บเงินไว้แต่เพียงผู้เดียวทำให้ ม. และผู้คัดค้านเสียหาย ต่อมา ม. ถึงแก่ความตาย ผู้คัดค้านได้ขอเข้ารับมรดกความแทนที่ ม. แต่ศาลชั้นต้นเห็นว่าคำร้องดังกล่าวเป็นการเฉพาะตัวของ ม. ผู้คัดค้านไม่สามารถเข้าเป็นคู่ความแทนที่ได้ จึงไม่อนุญาตให้ผู้คัดค้านเข้าเป็นคู่ความแทนที่ ม.ดังนั้น เมื่อผู้คัดค้านยื่นคำร้องอ้างเหตุเดียวกันซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่ผู้คัดค้านยังไม่ได้สืบสิทธิของ ม. ในการรับมรดกของ น.และเหตุตามคำร้องมิได้เป็นเรื่องที่โต้แย้งสิทธิของผู้คัดค้านมาเพื่อให้ศาลพิจารณาว่าเป็นเหตุให้ถอดถอนผู้ร้องจากการเป็นผู้จัดการมรดกของ น. หรือไม่ ซึ่งศาลจะต้องวินิจฉัยก่อนว่า เหตุตามคำร้องเป็นสิทธิ หน้าที่ และความรับผิดชอบต่าง ๆ ของ ม. ที่จะตกทอดไปยังผู้คัดค้านซึ่งเป็นทายาทของ ม. ให้มีอำนาจยกขึ้นอ้างเพื่อถอดถอนผู้จัดการมรดกได้หรือไม่ อันเป็นการวินิจฉัยในข้อที่ศาลได้เคยวินิจฉัยไว้แล้วในคดีที่ ม. ยื่นคำร้องคัดค้านขอให้ศาลถอดถอนผู้ร้องจากการเป็นผู้จัดการมรดกของ น. นั่นเอง จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของนางสาวนิรมล นฤมล ผู้ตาย กับให้มีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย ต่อมาผู้คัดค้านยื่นคำร้องว่าผู้คัดค้านและนางสาวนิรมลเป็นบุตรของนายมนตรี นฤมล และผู้ร้อง โดยนายมนตรีและผู้ร้องมิได้จดทะเบียนสมรสกัน ต่อมานายมนตรีจดทะเบียนรับรองผู้คัดค้านและนางสาวนิรมลเป็นบุตรนายมนตรีจึงเป็นทายาทโดยธรรมและมีสิทธิได้รับมรดกของนางสาวนิรมล แต่ในการยื่นคำร้องที่ผู้ร้องขอจัดการมรดกของนางสาวนิรมลนั้น ผู้ร้องไม่เคยแจ้งให้นายมนตรีทราบ และมิได้แจ้งในบัญชีเครือญาติว่านายมนตรีได้รับมรดกในฐานะทายาทโดยธรรมของนางสาวนิรมล อันเป็นการแสดงเจตนาปกปิดมิให้นายมนตรีได้รับมรดกของนางสาวนิรมล ภายหลังศาลมีคำสั่งตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของนางสาวนิรมลแล้ว ผู้ร้องได้ขายที่ดินทรัพย์มรดกของนางสาวนิรมล แต่ไม่ได้นำเงินที่ขายได้มาแบ่งให้นายมนตรี ส่วนที่ดินทรัพย์มรดกอีก 1 แปลง ซึ่งนายมนตรีเก็บรักษาโฉนดที่ดินไว้ผู้ร้องได้พยายามที่จะจำหน่ายโดยไม่แจ้งให้นายมนตรีทราบและได้ยื่นคำขอออกใบแทนโฉนดที่ดิน การกระทำเหล่านี้ทำให้นายมนตรีได้รับความเสียหาย นายมนตรีจึงได้ฟ้องผู้ร้องเพื่อขอให้ศาลถอดถอนผู้ร้องจากการเป็นผู้จัดการมรดกของนางสาวนิรมลและให้แบ่งเงินที่ขายทรัพย์มรดกให้แก่นายมนตรี และต่อมานายมนตรีได้ยื่นคำร้องขอให้ถอดถอนผู้ร้องออกจากการเป็นผู้จัดการมรดกของนางสาวนิรมลเป็นอีกคดีหนึ่งด้วย ครั้นวันที่ 22 กันยายน 2543 นายมนตรีถึงแก่ความตาย ศาลจึงมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีนี้ออกจากสารบบความ ซึ่งก่อนที่นายมนตรีจะถึงแก่ความตาย นายมนตรีได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์มรดกในส่วนที่นายมนตรีมีสิทธิได้รับมรดกของนางสาวนิรมลให้แก่ผู้คัดค้าน ผู้คัดค้านจึงมีสิทธิได้รับมรดกแทนที่นายมนตรี การที่ผู้ร้องขายที่ดินทรัพย์มรดกและเก็บเงินไว้แต่เพียงผู้เดียวทำให้นายมนตรีและผู้คัดค้านได้รับความเสียหายและเงินจากการขายที่ดินทรัพย์มรดกไป 1 แปลง ดังกล่าวผู้ร้องก็ใช้ไปคงจะหมดแล้ว จึงขอให้ศาลมีคำสั่งถอดถอนผู้ร้องจากการเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย และมีคำสั่งตั้งผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายหรือมีคำสั่งตั้งผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายร่วมกับผู้ร้อง
ผู้ร้องยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ร้องไม่เคยให้ความยินยอมในการที่นายมนตรีจดทะเบียนรับรองผู้คัดค้านและนางสาวนิรมลเป็นบุตร ผู้คัดค้านและนางสาวนิรมลไม่ใช่บุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของนายมนตรี ผู้คัดค้านจึงไม่มีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดกของนางสาวนิรมลไม่อาจร้องคัดค้านและขอเข้ามาเป็นผู้จัดการมรดกของนางสาวนิรมลได้ นายมนตรีมิได้เป็นทายาทโดยธรรมของนางสาวนิรมล นายมนตรีแสดงความประสงค์ว่าไม่ต้องการทรัพย์มรดกของนางสาวนิรมล ผู้ร้องจึงไม่จำต้องแจ้งให้นายมนตรีทราบถึงการยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ร้อง การที่นายมนตรีฟ้องขอแบ่งทรัพย์มรดกเพราะผู้คัดค้านยุยงเพื่อที่นายมนตรีได้ทรัพย์มรดกแล้วจะนำไปยกให้ผู้คัดค้านต่อไป ผู้ร้องขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างไปตามหน้าที่ของผู้จัดการมรดก และเงินที่ได้ก็ใช้แก่เจ้าหนี้กองมรดก ผู้ร้องมิได้รับเงินไว้ จึงไม่ทำให้กองมรดกได้รับความเสียหาย ส่วนที่ดินอีก 1 แปลง ผู้ร้องยังมิได้จำหน่ายให้แก่ผู้ใด จึงไม่ก่อความเสียหายให้กองมรดกของผู้ตาย ขอให้ยกคำร้อง
ในวันนัดไต่สวนคำร้องของผู้คัดค้าน ผู้คัดค้านแถลงว่าผู้คัดค้านเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกับนางสาวนิรมลนฤมล ผู้ตาย ขณะที่ผู้ตายถึงแก่ความตาย ผู้ตายมีนายมนตรีเป็นบิดาและมีผู้ร้องเป็นมารดา ศาลชั้นต้นพิเคราะห์คำร้องของผู้คัดค้านและคำคัดค้านของผู้ร้องประกอบคำแถลงของผู้คัดค้านดังกล่าว เห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้จึงให้งดไต่สวนและวินิจฉัยว่าผู้ร้องเป็นทายาทลำดับก่อนผู้คัดค้าน จึงตัดสิทธิผู้คัดค้านในทรัพย์มรดกของนางสาวนิรมล ผู้คัดค้านมิใช่ทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของผู้ตาย จึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องคัดค้าน ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ผู้คัดค้านอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้คัดค้านฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ผู้คัดค้านขอให้ศาลมีคำสั่งถอดถอนผู้ร้องจากการเป็นผู้จัดการมรดกของนางสาวนิรมลนฤมล และตั้งผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกแทน หรือเป็นผู้จัดการมรดกร่วมกับผู้ร้อง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง ผู้คัดค้านอุทธรณ์ แต่ในเนื้อหาคำฟ้องอุทธรณ์คงบรรยายเฉพาะเรื่องขอให้ถอดถอนผู้ร้องจากการเป็นผู้จัดการมรดกเท่านั้น กรณีเรื่องแต่งตั้งผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกแทนผู้ร้องหรือเป็นผู้จัดการมรดกร่วมกับผู้ร้องหรือไม่ จึงยุติไปตามคำสั่งของศาลชั้นต้น ผู้คัดค้านจะฎีกาว่าการร้องขอถอดถอนผู้จัดการมรดกย่อมหมายรวมถึงการแต่งตั้งผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกแทนหรือเป็นผู้จัดการมรดกร่วมกับผู้ร้องนั้น ไม่เป็นเหตุผลที่จะอ้างได้ เพราะเหตุแห่งการวินิจฉัยการร้องขอถอดถอนผู้จัดการมรดกและการสมควรแต่งตั้งผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกหรือไม่นั้น ต่างกันและจะต้องเป็นไปตามกฎหมายบัญญัติไว้ ตามฎีกาของผู้คัดค้านในข้อนี้เป็นเรื่องที่มิได้ว่ากันมาแล้วโดยชอบในชั้นอุทธรณ์ จึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้ คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านต่อไปเพียงว่า ผู้คัดค้านมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ถอดถอนผู้ร้องจากการเป็นผู้จัดการมรดกของนางสาวนิรมลหรือไม่ ผู้คัดค้านฎีกาว่า ผู้คัดค้านเป็นผู้สืบสิทธิในการรับมรดกแทนที่นายมนตรีและเป็นผู้รับทรัพย์มรดกตามพินัยกรรมของนายมนตรีในส่วนที่นายมนตรีจะได้รับจากนางสาวนิรมล จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดกของนางสาวนิรมล มีสิทธิยื่นคำร้องขอถอดถอนผู้ร้องจากการเป็นผู้จัดการมรดกได้นั้น เห็นว่า เหตุตามคำร้องของผู้คัดค้านที่ขอให้ศาลสั่งถอดถอนผู้ร้องจากการเป็นผู้จัดการมรดกของนางสาวนิรมลคือ กรณีผู้ร้องได้ขายที่ดินทรัพย์มรดกของนางสาวนิรมลและเก็บเงินไว้แต่เพียงผู้เดียวทำให้นายมนตรีและผู้คัดค้านได้รับความเสียหาย ซึ่งเป็นเหตุที่มีอยู่ก่อนที่ผู้คัดค้านจะสืบสิทธิของนายมนตรีที่จะรับมรดกของนางสาวนิรมล ทั้งยังเป็นเหตุเดียวกันกับที่นายมนตรีเคยยื่นคำร้องต่อศาลขอให้ถอดถอนผู้ร้องจากการเป็นผู้จัดการมรดกของนางสาวนิรมลด้วย ซึ่งในคดีนั้นเมื่อนายมนตรีถึงแก่ความตาย ผู้คัดค้านได้ขอเข้ารับมรดกความแทนที่นายมนตรีนายมนตรีแต่ศาลชั้นต้นเห็นว่าคำร้องดังกล่าวเป็นการเฉพาะตัวของนายมนตรี ผู้คัดค้านไม่สามารถเข้าเป็นคู่ความแทนที่ได้ จึงไม่อนุญาตให้ผู้คัดค้านเข้าเป็นคู่ความแทนที่นายมนตรี ซึ่งคำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าววินิจฉัยว่าการขอถอดถอนผู้จัดการมรดกเป็นเรื่องเฉพาะตัวของนายมนตรีไม่ตกทอดไปยังทายาทของนายมนตรี ดังนั้นเมื่อผู้คัดค้านอ้างเหตุเดียวกันซึ่งเกิดขึ้นมาตั้งแต่ผู้คัดค้านยังไม่ได้สืบสิทธิของนายมนตรีในการรับมรดกของนางสาวนิรมล และเหตุตามคำร้องขอดังกล่าวก็มิได้เป็นเรื่องที่โต้แย้งสิทธิของผู้คัดค้านมาเพื่อให้ศาลพิจารณาว่าเป็นเหตุให้ถอดถอนผู้ร้องจากการเป็นผู้จัดการมรดกของนางสาวนิรมลหรือไม่ซ้ำอีก ซึ่งศาลก็ต้องวินิจฉัยก่อนว่า เหตุตามคำร้องขอเป็นสิทธิ หน้าที่ และความรับผิดต่าง ๆ ของนายมนตรีที่จะตกทอดไปยังผู้คัดค้านซึ่งเป็นทายาทของนายมนตรีให้มีอำนาจยกขึ้นอ้างเพื่อถอดถอนผู้จัดการมรดกได้หรือไม่ อันเป็นการวินิจฉัยในข้อที่ศาลได้เคยวินิจฉัยไว้แล้วในคดีที่นายมนตรียื่นคำร้องคัดค้านขอให้ศาลถอดถอนผู้ร้องจากการเป็นผู้จัดการมรดกของนางสาวนิรมลนั่นเอง ดังนั้นที่ผู้คัดค้านยื่นคำร้องขอในคดีนี้จึงเป็นการดำเนินกระบวนการพิจารณาซ้ำอันเป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 ผู้คัดค้านจึงไม่อาจยกเหตุผลตามคำร้องเพื่อขอให้ศาลถอดถอนผู้ร้องจากการเป็นผู้จัดการมรดกของนางสาวนิรมลได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้คัดค้านฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share