แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่งต่อศาลจังหวัดนนทบุรี โดยระบุในคำฟ้องว่าจำเลยอยู่ที่บ้านมีเลขที่หลังหนึ่งในจังหวัดนนทบุรี ต่อมาในระหว่างการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องโจทก์ขอแก้ที่อยู่ของจำเลยเป็นบ้านมีเลขที่หลังหนึ่งในจังหวัดพิษณุโลกซึ่งจำเลยมีชื่อในทะเบียนบ้านแต่มีพฤติการณ์แสดงว่าบ้านมีเลขที่ในจังหวัดนนทบุรีตามที่โจทก์ระบุไว้ในคำฟ้อง อาจเป็นถิ่นที่อยู่ของจำเลยอีกแห่งหนึ่งนอกจากที่จังหวัดพิษณุโลก ซึ่งโจทก์จะถือเอาถิ่นที่อยู่แห่งหนึ่งแห่งใดเป็นภูมิลำเนาเพื่อยื่นฟ้องจำเลยก็ได้ กรณีควรฟังข้อเท็จจริงก่อน ที่ศาลจังหวัดนนทบุรีสั่งจำหน่ายคดีโดยอ้างว่าจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตอำนาจศาลจังหวัดพิษณุโลกจึงเป็นการไม่ชอบ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินตามเช็คที่จำเลยสั่งจ่ายชำระหนี้พร้อมดอกเบี้ยให้โจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรง
ศาลชั้นต้นรับคำฟ้องออกหมายเรียกส่งสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยเพื่อแก้คดีในการส่งหมายเรียกให้จำเลยครั้งแรก ณ บ้านเลขที่ 129/51ถนนติวานนท์ ซอยเรวดี 30 ตำบลตลาดขวัญ อำเภอเมืองฯ จังหวัดนนทบุรีเจ้าพนักงานศาลรายงานว่าไม่พบบ้านดังกล่าว โจทก์ได้ยื่นคำแถลงลงวันที่ 24มิถุนายน 2524 ว่าจำเลยมีที่อยู่ตามที่ระบุไว้ในคำฟ้อง ขอให้ส่งหมายเรียกให้จำเลยใหม่ ถ้าไม่มีผู้รับขอให้ปิดหมาย ศาลชั้นต้นสั่งว่าตามสำเนาทะเบียนบ้านที่โจทก์ยื่นประกอบคำแถลง ไม่มีชื่อบุคคลใดเข้าอยู่อาศัยยังถือไม่ได้ว่าจำเลยมีภูมิลำเนาตามนั้น ให้โจทก์หาหลักฐานใหม่มาแสดงต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องลงวันที่ 30 มิถุนายน 2524 ขอแก้ฟ้องเฉพาะที่อยู่ของจำเลยเป็นบ้านเลขที่ 69/27 หมู่ 5 ตำบลท่าทอง อำเภอเมืองพิษณุโลกจังหวัดพิษณุโลก ศาลชั้นต้นสั่งว่า ปรากฏว่าขณะฟ้องจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตอำนาจศาลจังหวัดพิษณุโลก โจทก์ไม่มีสิทธิมายื่นฟ้องที่ศาลจังหวัดนนทบุรี จำหน่ายคดีจากสารบบความ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ นับแต่ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2524 เจ้าพนักงานศาลจังหวัดนนทบุรีได้นำหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไปส่งให้จำเลยตามคำแถลงและแผนที่สังเขปของโจทก์ พบนางชมิตรอ้างว่าเป็นภริยาจำเลย ณ บ้านตามที่ระบุไว้ในคำฟ้อง แจ้งว่าจำเลยไปต่างจังหวัดไม่ยอมรับหมายเรียกไว้แทน เจ้าพนักงานศาลจึงปิดหมายเรียกไว้ ณ ที่นั้นปรากฏตามรายงานเจ้าหน้าที่ลงวันที่ 30 มิถุนายน 2524 ทั้งตามสำเนาทะเบียนบ้านดังกล่าวก็มีชื่อจำเลยเป็นผู้ขอเลขบ้านและต่อมาจำเลยยื่นคำให้การต่อสู้คดีภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด แต่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับเพราะได้จำหน่ายคดีเสียก่อนแล้ว แสดงว่าจำเลยได้ทราบตามหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องที่เจ้าพนักงานศาลได้ปิดไว้ จึงได้ยื่นคำให้การได้ถูกต้อง โจทก์อ้างว่าได้ติดต่อทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ตามเช็คพิพาทที่บ้านหลังนั้น ดังนั้นบ้านที่โจทก์ระบุในคำฟ้องอาจเป็นถิ่นที่อยู่ของจำเลยอีกแห่งหนึ่ง นอกจากที่จังหวัดพิษณุโลกซึ่งจำเลยมีชื่อในทะเบียนบ้าน กรณีเช่นนี้ โจทก์จะถือเอาถิ่นที่อยู่แห่งหนึ่งแห่งใดเป็นภูมิลำเนาเพื่อยื่นฟ้องจำเลยก็ได้เพราะเพียงแต่การแจ้งย้ายที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการย้ายภูมิลำเนานอกจากจะมีการย้ายถิ่นที่อยู่เปลี่ยนภูมิลำเนาอันแท้จริงตามคำร้องของโจทก์ขอแก้ที่อยู่ จำเลยก็ไม่ได้อ้างว่าจำเลยย้ายที่อยู่ไปก่อนฟ้อง กรณีควรจะต้องฟังข้อเท็จจริงก่อนว่าจำเลยมีถิ่นที่อยู่ทั้งสองแห่ง ซึ่งแห่งหนึ่งอยู่ในเขตอำนาจศาลชั้นต้นหรือไม่ ศาลฎีกาจึงเห็นพ้องด้วยในผลที่ศาลอุทธรณ์ให้ยกคำสั่งศาลชั้นต้นและให้ดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ