คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 354/2529

แหล่งที่มา : ADMIN

ย่อสั้น

โจทก์รับราชการเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลจำเลยที่1เป็นลูกจ้างชั่วคราวในตำแหน่งผู้ช่วยพยาบาลจำเลยที่2ถึงที่7รับราชการเป็นนายแพทย์ประจำโรงพยาบาลโดยมีโจทก์เป็นผู้บังคับบัญชาจำเลยที่2ถึงที่7ได้ทำหนังสือร้องเรียนโจทก์ต่อผู้อำนวยการกองโรงพยาบาลภูมิภาคพร้อมส่งเทปบันทึกเสียงซึ่งจำเลยที่1พูดยืนยันตามหนังสือร้องเรียนว่าโจทก์รับสินบนในการรับตนเข้าทำงานบกพร่องเกี่ยวกับศีลธรรมอันดีในกรณีชู้สาวและกระทรวงสาธารณสุขตั้งคณะกรรมการสอบสวนโจทก์ทางวินัยจำเลยที่1ที่2ที่3แจ้งต่อคณะกรรมการทำนองเดียวกับหนังสือร้องเรียนต่อมาหนังสือพิมพ์ลงข่าวเกี่ยวกับโจทก์เมื่อพฤติการณ์ที่จำเลยร้องเรียนจากฐานความจริงหรือเหตุการณ์ที่โจทก์ปฏิบัติอยู่ทำให้จำเลยเข้าใจเช่นนั้นโดยจำเลยเข้าใจว่าโจทก์ปฏิบัติหน้าที่ไม่ชอบอาจทำให้ราชการเสียหายและเป็นผู้บกพร่องเกี่ยวกับศีลธรรมอันดีในกรณีชู้สาวซึ่งผิดวินัยข้าราชการแล้วกระทำการดังกล่าวลงไปจึงถือได้ว่าจำเลยทั้งเจ็ดได้กระทำการโดยสุจริตเพื่อความชอบธรรมป้องกันตนหรือส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรมติชมด้วยความเป็นธรรมซึ่งเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำจึงได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา329(1)(3)ไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาทและไม่เป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จด้วย.

ย่อยาว

โจทก์ ทั้ง สอง สำนวน นี้ ศาลชั้นต้น รวม พิจารณา พิพากษา เข้า ด้วยกันโดย เรียก จำเลย ใน คดี แรก เป็น จำเลย ที่ 1 และ เรียก จำเลย ทั้ง หกใน คดี หลัง เป็น จำเลย ที่ 2 ถึง ที่ 7
โจทก์ ฟ้อง ว่า โจทก์ เป็น นายแพทย์ ผู้อำนวยการ โรงพยาบาล อินทร์บุรีจังหวัด สิงห์บุรี จำเลย ที่ 1 เป็น ลูกจ้าง ชั่วคราว ใน ตำแหน่งผู้ช่วย พยาบาล จำเลย ที่ 2 ถึง ที่ 7 รับราชการ เป็น นายแพทย์ จำเลยทั้ง เจ็ด ประจำ อยู่ ที่ โรงพยาบาล อินทร์บุรี จำเลย ทั้ง เจ็ด ได้ร่วมกัน หมิ่นประมาท โจทก์ และ แจ้งความ เท็จ โดย กล่าว หา ว่า โจทก์รับ เงิน สินบน ประพฤติตน ไม่ ชอบ และ บกพร่อง เกี่ยวกับ ศีลธรรม อันดีใน กรณี ชู้สาว เมื่อ กระทรวง สาธารณสุข ตั้ง คณะ กรรมการ สอบสวน โจทก์ จำเลย ได้ นำ เอา ข้อความ หมิ่นประมาท ไป แจ้ง ต่อ นายแพทย์ วิเชียรเทศชูกลิ่น และ คณะ กรรมการ สอบสวน ทำ ให้ โจทก์ ได้ รับ ความ เสียหายขอ ให้ ลงโทษ ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137, 326, 328, 90, 91
ศาลชั้นต้น ไต่สวน มูลฟ้อง แล้ว คดี มี มูล ให้ ประทับ ฟ้อง โจทก์ ไว้พิจารณา
จำเลย ทั้ง เจ็ด ให้การ ปฏิเสธ
ศาลชั้นต้น วินิจฉัย ข้อ ที่ โจทก์ ฎีกา ว่า จำเลย ทั้ง เจ็ด แสดงความ คิดเห็น หรือ ข้อความ จริง โดย สุจริต เพื่อ ความ ชอบธรรมหรือ ป้องกัน ส่วน ได้ เสีย เกี่ยวกับ ตน ตาม คลองธรรม เข้า ข้อยกเว้นตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329(1) ไม่ มี ความผิด ฐาน หมิ่นประมาทส่วน เรื่อง ชู้สาว จำเลย พิสูจน์ ได้ ว่า เป็น ความจริง และ เป็นประโยชน์ แก่ ประชาชน ได้ รับ ยกเว้น โทษ ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา330 และ การ กระทำ ของ จำเลย ทั้ง เจ็ด ไม่ เป็น ความผิด ฐาน แจ้งความเท็จ พิพากษา ยกฟ้อง
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกา วินิจฉัย ว่า ข้อความ ที่ จำเลย ที่ 1 พูด ใน เทป บันทึก เสียง จำเลย ที่ 2 ถึง ที่ 7 มี หนังสือ ร้องเรียน และ ที่ จำเลย แจ้งข้อความ นั้น ต่อ เจ้าพนักงาน เป็น ความ เท็จ ซึ่ง การ กระทำ ของ จำเลยทั้ง เจ็ด เป็น ความผิด นั้น พิเคราะห์ แล้ว เกี่ยวกับ เรื่อง รับสินบน ของ โจทก์ ใน การ รับ สมัคร เข้า ทำงาน ใน โรงพยาบาล อินทร์บุรีฝ่าย จำเลย นอกจาก จำเลย ที่ 1 และ นาง ลูกอินทร์ มารดา จำเลย ที่1 จะ เบิกความ ตรงกัน ว่า ก่อน จำเลย ที่ 1 เข้า ทำงาน ใน โรงพยาบาลอินทร์บุรี ได้ เสีย เงิน ให้ โจทก์ 12,000 บาท โดย นาย อู๋ จูสีคน ชอบพอ กับ โจทก์ เป็น ผู้ ติดต่อ เรียกร้อง และ จำเลย ที่ 1เบิกความ ต่อไป ว่า เมื่อ ทำงาน ได้ 3 ปี จำเลย ที่ 1 ต้องการ ไป เรียนผู้ช่วย พยาบาล ต่อ ที่ จังหวัด สระบุรี แต่ ต้อง ให้ เงิน โจทก์2,000 บาท จึง ขอ ยืม เงิน จำเลย ที่ 3 เป็น เหตุ ให้ จำเลย ที่ 3ทราบ และ เกิด การ ร้องเรียน เรื่อง นี้ ขึ้น โดย มี จำเลย ที่ 3เบิกความ รับรอง ตาม ข้อ นี้ แล้ว ยัง มี นาย พรชัย และ นาง ศรีจันทร์แสงวิไลสาคร สามี ภริยา เบิกความ ตรงกัน ว่า ใน การ บรรจุ เป็น ช่างไฟฟ้า ของ นาย พรชัย ได้ เสีย เงิน ให้ โจทก์ 5,000 บาท สอดคล้องต้องกัน โดย มี นางสาว ถาวร พูลเพิ่ม มา เบิกความ รับรอง ว่า จำเลย ที่1 และ นาย พรชัย ได้ เล่า เรื่อง ดังกล่าว ให้ ฟัง จริง จำเลย ที่1 นาย พรชัย และ นางสาว ถาวร เป็น ผู้ ใต้ บังคับบัญชา ของ โจทก์โดย เฉพาะ อย่างยิ่ง จำเลย ที่ 1 และ นาย พรชัย เป็น ผู้ ที่ โจทก์รับ เข้า ทำงาน ไม่ มี สาเหตุ ที่ จะ เบิกความ กลั่นแกล้ง หรือ ปรักปรำโจทก์ จึง มี น้ำหนัก ที่ น่าเชื่อถือ แม้ จำเลย ที่ 1 นาย เสนาะนาง ลูกอินทร์ บิดา มารดา จำเลย ที่ 1 จะ บันทึก รับรอง ตาม เอกสารหมาย จ.23 ถึง จ.26 ว่า ใน การ เข้า ทำงาน ของ จำเลย ที่ 1 ไม่ ได้เสีย เงิน ให้ แก่ ผู้ ใด ก็ ตาม ก็ น่า จะ เป็น เพราะ ความ กลัวจำเลย ที่ 1 ถูก ไล่ ออก จาก งาน ดัง ที่ นาง ลูกอินทร์ เบิกความมาก กว่า ไม่ ทำ ให้ น้ำหนัก ของ พยาน จำเลย เสีย ไป ข้อเท็จจริง ฟังได้ ตาม ที่ จำเลย นำืบ ส่วน เรื่อง ชู้สาว จำเลย มี นาง มาลีช่างประดับ มา เบิกความ ว่า ใน ระหว่าง ที่ พยาน ไป เรียน ผู้ช่วยพยาบาล ที่ จังหวัด สระบุรี และ กลับ มา ปฏิบัติ งาน ภาค ปฏิบัติ ที่โรงพยาบาล อินทร์บุรี โจทก์ ให้ ดู บัตร สนเท่ห์ เรื่อง พยาน ถูกร้องเรียน และ นัด พยาน ไป โรงแรม รักพงศ์ จึง ถูก โจทก์ ปลุกปล้ำเมื่อ พยาน ไม่ ยินยอม โจทก์ ได้ ขอ ตรวจ ภายใน ครั้ง ที่ สอง ได้พิเคราะห์ แล้ว เห็น ว่า ขณะนั้น นาง มาลี อายุ เพียง 18 ปี เป็นนางสาว ย่อม ได้ รับ ความ เสื่อมเสีย และ อับอาย มาก ถ้า เรื่อง ได้เปิดเผย ขึ้น แต่ กลับ ได้ ความ จาก จำเลย ที่ 2 และ ที่ 7 ว่า นาง มาลีเคย เล่า ให้ ฟัง จึง ผิด ปกติ วิสัย หาก ไม่ เป็น ความจริง ประกอบกับ โจทก์ ก็ ยอมรับ ว่า ได้ ตรวจ ภายใน นาง มาลี ทั้ง สอง ครั้ง จริงแต่ อ้าง ว่า ตรวจ เพื่อ หา เชื้อ กามโรค และ เพื่อ ดู พรหมจารีย์ ซึ่งทาง การ แพทย์ ไม่ ได้ รับรอง พฤติการณ์ เจือสม กัน เชื่อ ได้ ว่านาง มาลี เบิกความ ตาม ความ เป็น จริง เพราะ แม้ นาง กิมไซแก้วพระเกียรติ พยาน โจทก์ ก็ ยอมรับ ว่า เคย ทราบ ข่าว เรื่อง โจทก์มี ความ สัมพันธ์ กับ ผู้อื่น ใน ทาง ชู้สาว เหมือน กัน ข้อเท็จจริงฟัง ได้ ว่า โจทก์ มี ความ ประพฤติ ใน เรื่อง ดังกล่าว เป็น ไป ทำนองหนังสือ ร้องเรียน ของ จำเลย สำหรับ เรื่อง นำ รถยนต์ ของ โรงพยาบาลไป ใช้ ส่วนตัว จำเลย มี นาย ศุภชัย ปลอดยัง คน ขับ รถ ของ โรงพยาบาลอินทร์บุรี มา เบิกความ ว่า โจทก์ ให้ พยาน ขับรถ ของ โรงพยาบาล พาโจทก์ และ ครอบครัว ไป เที่ยว จังหวัด เพชรบูรณ์ และ นครสวรรค์ และโจทก์ เคย เอา รถ กระบะ ไป ใช้ ส่วนตัว สอดคล้อง ต้องกัน กับ คำเบิกความ ของ จำเลย ที่ 2 ถึง ที่ 7 และ รับ กับ การ ไม่ พ่น สี ตรา รถโรงพยาบาล ตาม ที่ จำเลย ที่ 2 เคย ทักท้วง โจทก์ ข้อเท็จจริง เชื่อได้ ว่า เป็น ความจริง ดัง จำเลย นำสืบ ส่วน เรื่อง เงิน อุดหนุนโรงพยาบาล จาก ทุน พรหมวิหาร จำนวน 50,000 บาท เพื่อ ซื้อ เครื่องมือแพทย์ เงิน บริจาค จาก นาย กุ้ยฮะ แซ่อึ้ง จำนวน 50,000 บาท เพื่อ ซื้อเครื่องดูด เสมหะ และ เงิน บริจาค ของ นาง เป้า ปาลวัฒน์วิชัย เพื่อซ่อมแซม หลังคา ซุ้ม พระ นั้น เห็น ว่า แม้ จะ ไม่ มี การ ทุจริต ในเงิน ดังกล่าว แต่ โจทก์ มิได้ นำ เข้า บัญชี เงิน บำรุง โรงพยาบาลกลับ ไป ฝาก ที่ ธนาคาร กสิกรไทย จำกัด สาขา สิงห์บุรี ใน ชื่อ ของโจทก์ ซึ่ง ผิด ระเบียบ ของ ทาง ราชการ และ เพิ่ง ซื้อ เครื่อง ดูดเสมหะ ใน ภายหลัง กับ คืน เงิน ของ นาง เป้า แก่ นางสาว นงเยาว์ภายหลัง ที่ ถูก จำเลย มี หนังสือ ร้องเรียน แล้ว พฤติการณ์ จึง เจือสมการ ร้องเรียน ของ จำเลย นอกจาก นี้ เกี่ยวกับ เรื่อง ซื้อ อาหาร ในโรงครัวของโรงพยาบาล เรื่อง การ สร้าง บ้านพัก ผู้ช่วย พยาบาล เรื่อง โจทก์ เป็นหุ้นส่วน กับ นายแพทย์ ช.ศรีพิชย์ เพ็ชญไพศิษฏ์ ตั้ง โรงพยาบาลศรีอินทรา ก็ ได้ ความ ว่า นาง สมทรง งามชาติ หัวหน้า โรงครัว ผู้ ปลอมใบเสร็จ รับเงิน ค่า น้ำมัน หมู เป็น น้องสาว ของ โจทก์ มี ความรู้เพียง จบ ม.ศ.3 ไม่ มี ความรู้ ทาง โภชนาการ ที่ จะ ทำ หน้าที่ ดังกล่าว นาย สมเกียรติ ผู้ ควบคุม การ ก่อสร้าง บ้านพัก ผู้ช่วย พยาบาล เป็นญาติ กับ โจทก์ ภายหลัง ตรวจรับ งาน แล้ว สิ่งก่อสร้าง ดังกล่าว ชำรุดเสียหาย โจทก์ ก็ หา ได้ ดำเนินการ เพื่อ ให้ ผู้ รับเหมา มา ทำ การซ่อมแซม แต่ อย่างใด ไม่ และ โจทก์ เป็น ที่ ปรึกษา ของ โรงพยาบาลศรีอินทรา ต้อง ไป โรงพยาบาล ดังกล่าว บ่อยๆ ประกอบ กับ จำเลย มีภาพถ่าย หมาย จ.9 จ.12 แสดงว่า เจ้าหน้าที่ ของ โรงพยาบาล ศรีอินทราไป ทำงาน ที่ โรงพยาบาล อินทร์บุรี ซึ่ง ล้วน แต่ เป็น เหตุผล แสดงว่าโจทก์ ปฏิบัติ หน้าที่ ไม่ ชอบ ตาม หนังสือ ร้องเรียน ของ จำเลยทั้งสิ้น พยาน โจทก์ เบิกความ ลอยๆ ขัด ต่อ เหตุผล มี น้ำหนัก สู้พยาน จำเลย ไม่ ได้ พฤติการณ์ ที่ จำเลย ทั้ง เจ็ด ร้องเรียน จาก ฐานความจริง หรือ เหตุการณ์ ที่ โจทก์ ปฏิบัติ อยู่ ทำ ให้ จำเลย เข้าใจเช่นนั้น โดย จำเลย เข้าใจ ว่า โจทก์ ปฏิบัติ หน้าที่ ไม่ ชอบ อาจทำ ให้ ราชการ เสียหาย และ เป็น ผู้ บกร่อง เกี่ยวกับ ศีลธรรม อัน ดีใน กรณี ชู้สาว ซึ่ง ผิด วินัย ข้าราชการ แล้ว กระทำ การ ดังกล่าว ลง ไป จึง ถือ ได้ ว่า จำเลย ทั้ง เจ็ด ได้ กระทำ การ โดย สุจริต เพื่อความ ชอบธรรม ป้องกัน ตน หรือ ส่วน ได้ เสีย เกี่ยวกับ ตน ตาม คลองธรรม ติชม ด้วย ความ เป็น ธรรม ซึ่ง เป็น วิสัย ของ ประชาชน ย่อม กระทำจึง ได้ รับ ความ คุ้มครอง ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329(1) (3)ไม่ มี ความผิด ฐาน หมิ่นประมาท และ ไม่ เป็น ความผิด ฐาน แจ้งความ เท็จด้วย ลำพัง เพียง จำเลย ไม่ นำ เรื่อง ให้ ที่ ประชุม โรงพยาบาล พิจารณา แต่ นำ ไป ร้องเรียน ต่อ ผู้ บังคับ บัญชา เลย ก็ หา ใช่ เหตุผลแสดงว่า จำเลย นำ ความ เท็จ มา ร้องเรียน โดย มี เจตนา หมิ่นประมาทดัง โจทก์ ฎีกา ไม่ ฎีกา โจทก์ ฟัง ไม่ ขึ้น
พิพากษายืน

Share