แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
เมื่อสืบพยานโจทก์เสร็จสิ้นแล้ว ในระหว่างสืบพยานจำเลยทนายจำเลยแถลงขอให้ศาลส่งลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 ตามที่ปรากฏในตั๋วสัญญาใช้เงินไปให้ผู้เชี่ยวชาญกองพิสูจน์หลักฐานกรมตำรวจตรวจพิสูจน์ โดยเปรียบเทียบกับลายมือชื่ออันแท้จริงของจำเลยที่ 2 ในเอกสารหมาย จ.8 และ จ.34 ศาลชั้นต้นอนุญาตและให้จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อต่อหน้าศาลส่งไปตรวจพิสูจน์ด้วยโจทก์ไม่คัดค้าน ต่อมาศาลชั้นต้นได้ส่งเอกสารที่มีลายมือชื่ออันแท้จริงของจำเลยที่ 2 ไปให้กองพิสูจน์หลักฐานกรมตำรวจเพิ่มเติมตามที่ขอมา ผู้เชี่ยวชาญกองพิสูจน์หลักฐานกรมตำรวจ ได้แจ้งผลการตรวจพิสูจน์มายังศาลชั้นต้นว่า ลายมือชื่อจำเลยที่ 2 ในตั๋วสัญญาใช้เงินกับลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 ในเอกสารตัวอย่างไม่ใช่ลายมือชื่อของบุคคลเดียวกัน แม้ต่อมาโจทก์จะยื่นคำแถลงคัดค้านว่าจำเลยที่ 2 มิได้จัดหาต้นฉบับอันแท้จริงของเอกสารหมาย จ.8 และ จ.34และมิได้ลงลายมือชื่อต่อหน้าศาลเพื่อส่งไปให้ตรวจพิสูจน์เพิ่มเติมในครั้งหลังก็ตามก็เป็นเรื่องสืบพยานของจำเลยที่ 2 มิใช่ของโจทก์เพราะโจทก์ก็ได้นำสืบพยานหลักฐานเสร็จสิ้นไปก่อนแล้ว โจทก์จะขอให้ศาลเพิกถอนกระบวนพิจารณาและผลการตรวจพิสูจน์ของผู้เชี่ยวชาญดังกล่าว และขอให้มีการตรวจพิสูจน์ใหม่หลังจากจำเลยที่ 2 ได้ขอให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจพิสูจน์เสร็จสิ้นไปแล้วไม่ได้ เป็นการไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินต้นจำนวน6,777,916.67 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การว่าจำเลยที่ 2 ไม่ได้ลงลายมือชื่ออาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินตามฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 5,000,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ ส่วนจำเลยที่ 2 ฟังไม่ได้ว่าเป็นผู้รับอาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินตามฟ้อง พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ขอให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1ตามฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ที่โจทก์ฎีกาขอให้ศาลฎีกาสั่งให้มีการตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 ใหม่ โดยผู้เชี่ยวชาญของศาลซึ่งขึ้นทะเบียนไว้และไม่ใช่เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานกรมตำรวจนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าคดีนี้เมื่อสืบพยานโจทก์เสร็จแล้วโจทก์แถลงหมดพยาน ในระหว่างสืบพยานจำเลย ทนายจำเลยแถลงขอให้ศาลส่งลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 ตามที่ปรากฏในตั๋วสัญญาใช้เงินเอกสารหมาย จ.13 ไปให้ผู้เชี่ยวชาญกองพิสูจน์หลักฐานกรมตำรวจตรวจพิสูจน์โดยเปรียบเทียบกับลายมือชื่ออันแท้จริงของจำเลยที่ 2 ในเอกสารหมาย จ.8 และ จ.34 ศาลชั้นต้นอนุญาตและให้จำเลยที่ 2 ลงชื่อในกระดาษเบอร์ 40 จำนวน 2 แผ่น ต่อหน้าศาลส่งไปตรวจพิสูจน์ด้วย โจทก์ไม่คัดค้าน ดังปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณา ลงวันที่ 13 สิงหาคม 2530 ต่อมาศาลชั้นต้นได้ส่งเอกสารที่มีลายมือชื่ออันแท้จริงของจำเลยที่ 2 ไปให้กองพิสูจน์หลักฐานกรมตำรวจเพิ่มเติมตามที่ขอมา ผู้เชี่ยวชาญกองพิสูจน์หลักฐานกรมตำรวจได้แจ้งผลการตรวจพิสูจน์มายังศาลชั้นต้นว่าลายมือชื่อจำเลยที่ 2 ในตั๋วสัญญาใช้เงินเอกสารหมาย จ.13 กับลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 ในเอกสารตัวอย่างไม่ใช่ลายมือชื่อของบุคคลคนเดียวกัน ตามเอกสารหมาย ล.2 ศาลชั้นต้นได้แจ้งให้คู่ความทราบแล้ว ตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 4 มีนาคม 2531แม้ต่อมาโจทก์จะยื่นคำแถลงลงวันที่ 3 มิถุนายน 2531 คัดค้านว่าจำเลยที่ 2 มิได้จัดหาต้นฉบับอันแท้จริงของเอกสารหมาย จ.8 และจ.34 และจำเลยที่ 2 มิได้ลงลายมือชื่อในกระดาษต่อหน้าศาลเพื่อให้ศาลชั้นต้นส่งไปตรวจพิสูจน์เพิ่มเติมในครั้งหลังก็ตาม ก็เป็นเรื่องการสืบพยานจำเลยที่ 2 มิใช่ของโจทก์ เพราะโจทก์ได้นำสืบพยานหลักฐานเสร็จสิ้นไปก่อนแล้ว โจทก์จะขอให้ศาลเพิกถอนกระบวนพิจารณาและผลการตรวจพิสูจน์ของผู้เชี่ยวชาญดังกล่าว และขอให้มีการตรวจพิสูจน์ใหม่หลังจากจำเลยที่ 2 ได้ขอให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจพิสูจน์เสร็จสิ้นไปแล้วไม่ได้เป็นการไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา”
พิพากษายืน