คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 181/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมีโฉนด ซึ่งเป็นเอกสารมหาชนแสดงความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ของโจทก์และจำเลยผู้มีชื่อในโฉนด ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าถูกต้อง จำเลยผู้กล่าวอ้างว่าความจริงโจทก์มีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แทนจำเลยซึ่งมิได้เป็นไปตามข้อความในเอกสารนั้น มีภาระการพิสูจน์ให้ปรากฏความจริงตามคำกล่าวอ้างตาม ป.วิ.พ. มาตรา 127.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันในที่ดินโฉนดเลขที่ 11481 โดยร่วมกันซื้อมาจาก นางชะเอม เขียวสุทธาโจทก์บอกกล่าวขอให้จำเลยดำเนินการแบ่งแยกโฉนดที่ดินหลายครั้งจำเลยผัดผ่อนมาตลอด ขอให้พิพากษาให้จำเลยจัดการแบ่งแยกโฉนดที่ดินเลขที่ 11481 ตำบลต้นมะม่วง อำเภอเมืองเพชรบุรีจังหวัดเพชรบุรี ให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดออกจากที่ดินส่วนของโจทก์และส่งมอบแก่โจทก์ ถ้าจำเลยไม่จัดการแบ่งแยกโฉนดที่ดิน ให้นำที่ดินตามฟ้องออกขายทอดตลาดนำเงินจากการขายทอดตลาดแบ่งครึ่งให้แก่โจทก์จำเลย
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยแต่ผู้เดียวเป็นผู้ซื้อที่ดินพิพาทจากนางชะเอม แต่โจทก์ซึ่งเป็นน้องสาวของจำเลยขอร้องให้ใส่ชื่อโจทก์ร่วมถือกรรมสิทธิ์ด้วย จำเลยจึงให้โจทก์ร่วมถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวส่วนหนึ่งแทนจำเลย จำเลยไม่ประสงค์ให้โจทก์ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทแทนจำเลยอีกต่อไป ขอให้ยกฟ้องให้โจทก์ไปจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์จากโจทก์และจำเลยมาเป็นชื่อจำเลยแต่เพียงผู้เดียว หากโจทก์ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนา
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์ไม่เคยขอร้องให้จำเลยใส่ชื่อของโจทก์ในโฉนดที่ดินพิพาทแทนจำเลย ฟ้องแย้งของจำเลยเคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้แบ่งที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 11481ตำบลต้นมะม่วง อำเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี เนื้อที่ 1 ไร่3 งาน 30 วา ให้แก่โจทก์จำเลยคนละครึ่ง โดยถือเอาที่ดินด้านติดถนนบางทะลุเป็นเกณฑ์ ให้แบ่งที่ดินด้านนี้มีความยาวคนละครึ่งแล้วลากเส้นแบ่งครึ่งไปจดสุดอาณาเขตที่ดินอีกด้านหนึ่งให้ได้เนื้อที่ดินเป็นสองส่วนเท่ากัน ส่วนทางทิศตะวันตกให้เป็นของโจทก์ ทิศตะวันออกเป็นของจำเลย กับให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินส่วนที่แบ่งให้โจทก์ มอบที่ดินให้แก่โจทก์ หากแบ่งไม่ได้ด้วยเหตุใด ๆให้นำที่ดินพิพาทออกขายทอดตลาดเอาเงินแบ่งให้โจทก์จำเลยคนละครึ่งให้ยกฟ้องแย้ง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่ดินตามโฉนดเลขที่ 11481 ตำบลต้นมะม่วง อำเภอเมืองเพชรบุรีจังหวัดเพชรบุรี ซึ่งเป็นที่ดินพิพาทมีชื่อโจทก์จำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกัน คดีมีปัญหาว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกับจำเลยตามที่โจทก์ฟ้องหรือมีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แทนจำเลยเห็นว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมีโฉนดตามเอกสารหมาย จ.1 ซึ่งเป็นเอกสารมหาชนแสดงความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ของโจทก์และจำเลยผู้มีชื่อในโฉนด ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าถูกต้อง จำเลยผู้กล่าวอ้างว่าความจริงโจทก์มีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แทนจำเลยซึ่งมิได้เป็นไปตามข้อความในเอกสารนั้นมีภาระการพิสูจน์ให้ปรากฏความจริงตามคำกล่าวอ้าง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 127 ที่จำเลยนำสืบว่า จำเลยเป็นผู้ซื้อที่ดินพิพาทผู้เดียวเพื่อใช้สร้างโรงเก็บไม้ในกิจการร้านค้าไม้ย่งฮะฮวดซึ่งจำเลยเป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียว โจทก์เป็นเพียงผู้ช่วยดูแลโดยได้รับเงินเดือนจากจำเลยเท่านั้น จำเลยยอมให้โจทก์มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทส่วนหนึ่งแทนจำเลยเนื่องจากโจทก์ขอร้องจำเลยนั้นปรากฏว่าตามคำขอเปิดบัญชีกระแสรายวันในนามร้านค้าไม้ย่งฮะฮวดเอกสารหมาย ล.8 มีนายชุ่นสือ แซ่ล้อ บิดาของโจทก์จำเลยเป็นเจ้าของบัญชีมีเงื่อนไขในการสั่งจ่ายเช็คเบิกถอนเงินว่า โจทก์และจำเลยต้องลงลายมือชื่อร่วมกันแสดงให้เห็นว่ากิจการร้านค้าไม้นี้เป็นของบิดาโจทก์จำเลยซึ่งมอบให้โจทก์จำเลยช่วยกันดำเนินกิจการร่วมกันไม่น่าเชื่อว่าเป็นกิจการของจำเลยผู้เดียว เพราะหากเป็นกิจการของจำเลยผู้เดียวก็ไม่มีเหตุที่จำเลยจะยอมให้มีเงื่อนไขให้โจทก์ต้องสั่งจ่ายเช็คร่วมด้วยอันทำให้โจทก์มีอำนาจดำเนินกิจการทางการเงินขณะเดียวกันจำเลยก็ขาดอิสระในการดำเนินการทางการเงินด้วยและที่จำเลยอ้างว่าจำเลยยอมให้โจทก์มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทส่วนหนึ่งแทนจำเลยเพราะเห็นว่าโจทก์เป็นน้องและมีอายุมาก ประกอบจำเลยเกรงว่ากิจการร้านค้าไม้ของจำเลยอาจล้มเหลว ก็เป็นข้ออ้างที่ปราศจากเหตุผล ข้อนำสืบของจำเลยดังกล่าวไม่น่าเชื่อส่วนที่โจทก์นำสืบว่า โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทร่วมกับจำเลยนั้น ตามคำเบิกความของนางสุนมารดาของโจทก์จำเลย ซึ่งได้เบิกความเป็นพยานไว้ในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 669/2527 ของศาลชั้นต้น ที่จำเลยเป็นโจทก์ฟ้องนางสาวบุญรัตน์ อักษราลิขิตสันติ น้องจำเลยอีกคนหนึ่งเป็นจำเลยตามเอกสารหมาย จ.8 นางสุน ก็ยืนยันว่าเป็นผู้ออกเงินในการซื้อที่ดินพิพาทให้โจทก์จำเลย ทั้งตามสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทกับบันทึกถ้อยคำของโจทก์ จำเลย และนางไจ้เชี้ย แซ่ล้อ ที่เจ้าพนักงานที่ดินบันทึกไว้ตามเอกสารหมาย ล.4 และ จ.2-จ.4 ซึ่งนายวุฒิ ปัจฉิมหงษ์เจ้าพนักงานที่ดินผู้สอบสวนบันทึกถ้อยคำดังกล่าวพยานโจทก์เบิกความสนับสนุนก็ปรากฏข้อความว่าโจทก์ตกลงซื้อที่ดินร่วมกับจำเลย เป็นการซื้อเพื่อตนมิใช่ซื้อแทนผู้อื่น พยานหลักฐานของโจทก์ดังกล่าวสอดคล้องต้องกัน และรับกับข้อความที่ปรากฏชื่อโจทก์จำเลยถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันในโฉนดที่ดินพิพาทเอกสารหมาย จ.1 อันเป็นเอกสารมหาชนที่สันนิษฐานได้ว่าถูกต้องแท้จริงดังกล่าวแล้วพยานหลักฐานของจำเลยมีน้ำหนักน้อยกว่าพยานหลักฐานของโจทก์ และไม่อาจหักล้างข้อสันนิษฐานได้ จึงฟังข้อเท็จจริงได้ว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทร่วมกับจำเลยตามฟ้อง ศาลชั้นต้นศาลอุทธรณ์พิพากษาให้โจทก์ชนะคดีศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share