คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5751/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พ.ร.บ.ให้ใช้บทบัญญัติแห่ง บรรพ 5 แห่ง ป.พ.พ. พ.ศ.2477มาตรา 4 ระบุว่า บทบัญญัติ บรรพ 5 ไม่กระทบกระเทือนถึงการสมรสซึ่งได้มีอยู่ก่อนวันใช้ ป.พ.พ. บรรพ 5 เมื่อปรากฏว่า ถ. บิดาผู้ร้องแต่งงานอยู่กินฉันสามีภริยากับมารดาผู้ร้องก่อนที่ ป.พ.พ. บรรพ 5 ใช้บังคับผู้ร้องจึงมีฐานะเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของ ถ. และเป็นทายาทโดยธรรมมีสิทธิได้รับมรดกของ ถ. ส่วนผู้คัดค้านเมื่อจดทะเบียนสมรสกับ ถ. โดยถูกต้องตามกฎหมายมีฐานะเป็นทายาทโดยธรรมมีสิทธิได้รับมรดกของ ถ. เช่นกัน ทั้งสองฝ่ายย่อมมีสิทธิร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของ ถ. ได้ด้วยกัน
ผู้ร้องฎีกาว่า ทรัพย์มรดกเป็นสินสมรสเพราะเป็นทรัพย์สินที่ ถ.บิดาผู้ร้องกับมารดาผู้ร้องทำมาหาได้ร่วมกัน ซึ่งเป็นปัญหาเรื่องการแบ่งปันทรัพย์มรดกให้แก่ทายาทนั้น เป็นเรื่องนอกประเด็นเพราะประเด็นพิพาทแห่งคดีมีเพียงว่า ผู้ร้องและผู้คัดค้านฝ่ายใดสมควรเป็นผู้จัดการมรดกของ ถ. ผู้ตายเท่านั้น
การที่ผู้คัดค้านฎีกาว่าผู้ร้องรับเงินค่าสิทธิการเช่าบ้านมา200,000 บาท แล้วยักยอกไว้ 165,000 บาท าเป็นการยักย้ายหรือปิดบังทรัพย์-มรดกโดยฉ้อฉลหรือรู้อยู่ว่า ตนทำให้เสื่อมประโยชน์ทายาทคนอื่น ผู้ร้องต้องถูกกำจัดมิให้รับมรดกและผู้ร้องมีพฤติการณ์และการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์กับกองมรดกนั้นผู้คัดค้านมิได้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ไว้ในคำร้องคัดค้าน จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
การที่ศาลจะตั้งฝ่ายใดเป็นผู้จัดการมรดกนั้น ย่อมแล้วแต่ศาลจะพิจารณาเห็นสมควรเพื่อประโยชน์แก่กองมรดก ดังนั้น เมื่อพฤติการณ์แห่งคดีปรากฏว่าการจะให้ฝ่ายใดเป็นผู้จัดการมรดกแต่ฝ่ายเดียว อาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่กองมรดกและเสียหายแก่อีกฝ่ายหนึ่งได้ หากให้จัดการร่วมกันแล้วจะเป็นประโยชน์แก่กองมรดกและทายาททุกคน ก็สมควรตั้งผู้ร้องและผู้คัดค้านร่วมกันเป็นผู้จัดการมรดก

ย่อยาว

คดีทั้งสองสำนวนนี้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกันโดยเรียกจ่าสิบเอกวิรัช พันธุรักษ์ เป็นผู้ร้อง นางพิมพ์ พันธุรักษ์ เป็นผู้คัดค้าน
ผู้ร้องและผู้คัดค้านต่างยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย โดยผู้ร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของนายแถม และนางทับทิม พันธุรักษ์ผู้เป็นบิดามารดา ส่วนผู้คัดค้านขอเป็นผู้จัดการมรดกของนายแถม พันธุรักษ์ ผู้เป็นสามีโดยชอบด้วยกฎหมาย ทั้งสองฝ่ายต่างคัดค้านว่า อีกฝ่ายหนึ่งไม่สมควรเป็นผู้จัดการมรดกรายนี้ และผู้ร้องอ้างว่ากองมรดกของนายแถมเป็นสินสมรสระหว่างนายแถมและนางทับทิม ผู้คัดค้านไม่มีส่วนได้เสียในกองมรดก ส่วนผู้คัดค้านอ้างว่า มารดาผู้ร้องกับนายแถมมิได้จดทะเบียนสมรสกัน ผู้ร้องไม่มีส่วนได้เสียในกองมรดกของนายแถมผู้คัดค้านเป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายแถมผู้ตาย
ศาลชั้นต้น มีคำสั่งตั้งให้ผู้ร้องและผู้คัดค้าน ร่วมกันเป็นผู้-จัดการมรดกของนายแถมผู้ตาย และตั้งให้ผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของนางทับทิมผู้ตาย
ผู้ร้องและผู้คัดค้านอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องและผู้คัดค้านฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่ผู้ร้องและผู้คัดค้านนำสืบรับกันฟังเป็นยุติว่า ผู้ร้องเป็นบุตรนายแถมและนางทับทิม พันธุรักษ์ โดยบิดา-มารดาผู้ร้องแต่งงานอยู่กินฉันสามีภรรยาเมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๕ เกิดบุตรด้วยกัน๙ คน วันที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๒๓ นางทับทิมถึงแก่กรรมเนื่องจากเลือดออกในสมองต่อมานายแถมกับผู้คัดค้านจดทะเบียนสมรสกันเมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๒๕วันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๒๙ นายแถมถึงแก่กรรมเนื่องจากไตวาย และติดเชื้อแทรกซ้อน ก่อนนายแถมถึงแก่กรรมมีทรัพย์มรดกเป็นที่ดินกับเงินฝากในธนาคารปัญหาที่ต้องวินิจฉัยมีว่าฝ่ายใดสมควรเป็นผู้จัดการมรดกของนายแถมผู้ตาย เห็นว่านายแถมกับนางทับทิมบิดามารดาผู้ร้องแต่งงานอยู่กินฉันสามีภรรยา เมื่อปีพ.ศ.๒๔๗๕ อันเป็นเวลาก่อนที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๕ ใช้บังคับ ตามพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติ บรรพ ๕ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและ-พาณิชย์ พ.ศ.๒๔๗๗ มาตรา ๔ ระบุว่า บทบัญญัติ บรรพ ๕ ไม่กระทบกระเทือนถึงการสมรสซึ่งได้มีอยู่ก่อนวันใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๕ ดังนั้นผู้ร้องจึงมีฐานะเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนายแถมเป็นทายาทโดยธรรม มีสิทธิได้รับทรัพย์มรดกของนายแถม ส่วนผู้คัดค้านเมื่อจดทะเบียนสมรสกับนายแถมโดยถูกต้องตามกฎหมาย ผู้คัดค้านย่อมเป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายมีฐานะเป็นทายาทโดยธรรมมีสิทธิได้รับทรัพย์มรดกของนายแถมเช่นกัน ทั้งสองฝ่ายย่อมมีสิทธิร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของนายแถมได้ด้วยกัน และต่างมีคุณสมบัติไม่เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้เป็นผู้จัดการมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา๑๗๑๘ ที่ผู้ร้องฎีกาว่าทรัพย์มรดกเป็นสินสมรสเพราะเป็นทรัพย์สินที่นายแถมกับนางทับทิมบิดามารดาผู้ร้องทำมาหาได้ร่วมกันซึ่งเป็นปัญหาเรื่องการแบ่งปันทรัพย์มรดกให้แก่ทายาทนั้น เห็นว่าเป็นเรื่องนอกประเด็นเพราะในชั้นนี้ประเด็นแห่งคดีมีเพียงว่า ผู้ร้องและผู้คัดค้านฝ่ายใดสมควรเป็นผู้จัดการมรดกของนายแถมผู้ตายเท่านั้น และที่ผู้คัดค้านฎีกาว่าผู้ร้องรับเงินค่าสิทธิการเช่าบ้านมา ๒๐๐,๐๐๐ บาทแล้วยักยอกไว้ ๑๕๖,๐๐๐ บาท เป็นการยักย้ายหรือปิดบังทรัพย์มรดกโดยฉ้อฉลหรือรู้อยู่ว่า ตนทำให้เสื่อมประโยชน์ทายาทคนอื่น ผู้ร้องต้องถูกกำจัดมิให้รับมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๐๕ วรรคหนึ่ง และผู้ร้องมีพฤติการณ์และการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์กับกองมรดกนั้น เห็นว่า ข้ออ้างตามฎีกาดังกล่าว ผู้คัดค้านมิได้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ไว้ในคำร้องคัดค้านจึงเป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย และในการที่ศาลจะตั้งฝ่ายใดเป็นผู้จัดการมรดกนั้นย่อมแล้วแต่ศาลจะเห็นสมควรเพื่อประโยชน์แก่กองมรดก เมื่อพิเคราะห์ถึงพฤติการณ์ทั่วไปแห่งคดีแล้ว ศาลฎีกาเห็นว่า การจะให้ฝ่ายใดเป็นผู้จัดการมรดกแต่ฝ่ายเดียวอาจก่อให้เกิดความ-เสียหายแก่กองมรดกและเสียหายแก่อีกฝ่ายหนึ่งได้ หากได้จัดการร่วมกันแล้วย่อมเป็นประโยชน์แก่กองมรดกและทายาททุกคน ที่ศาลล่างทั้งสองให้ผู้ร้องและผู้คัดค้านร่วมกันเป็นผู้จัดการมรดกของนายแถมผู้ตายนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
พิพากษายืน.

Share