คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2241/2532

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 กับผู้ตายเคยมีเรื่องทะเลาะวิวาทกันมาก่อนวันเกิดเหตุจำเลยทั้งสองพบกับผู้ตายและ ว. โดยบังเอิญจำเลยที่ 1 ใช้ท่อนไม้ไล่ตีผู้ตาย จำเลยที่ 2 ไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับผู้ตายไม่ได้ร่วมไล่ตีด้วย แต่เมื่อ ว. หยิบไม้จะไปช่วยผู้ตาย จำเลยที่ 2 หยิบไม้คานมาถือและห้ามไม่ให้ ว.ไปช่วยผู้ตาย จึงเป็นการให้ความช่วยเหลือและให้ความสะดวกแก่จำเลยที่ 1 ในการกระทำผิด จำเลยที่ 2 หามีเจตนาร่วมกระทำผิดด้วยไม่ เมื่อผู้ตายถูกจำเลยที่ 1 ตีตาย จำเลยที่ 2มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 86

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 83 จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ จำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามฟ้อง จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 86 โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ก่อนเกิดเหตุประมาณครึ่งเดือน จำเลยที่ 1 ทะเลาะวิวาทกับผู้ตายและถูกผู้ตายตีศีรษะแตก วันเกิดเหตุผู้ตายขับรถจักรยานยนต์โดยมีนายวันชัยเชาว์ชาญ นั่งซ้อนท้ายไปซื้อไก่ที่บ้านนายไพโรจน์ ระหว่างทางผู้ตายขับรถแซงรถจักรยานยนต์ที่จำเลยที่ 1 เป็นผู้ขับจำเลยที่ 2นั่งซ้อนท้าย เมื่อจำเลยที่ 1 ขับรถไปทันผู้ตายที่บ้านนายไพโรจน์ จำเลยที่ 1 หยิบไม้ท่อนกลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 3 นิ้ว ยาวประมาณ 1 แขน ซึ่งวางอยู่ในบริเวณนั้นตีนายวันชัย ทำให้นายวันชัยและผู้ตายซึ่งกำลังนั่งคร่อมรถจักรยานยนต์ตกจากรถจักรยานยนต์ เมื่อผู้ตายลุกขึ้นได้ก็วิ่งหนี จำเลยที่ 1 ถือไม้ไล่ตีผู้ตาย นายวันชัยหยิบไม้กลมอีกท่อนหนึ่งเพื่อจะไปช่วยผู้ตาย จำเลยที่ 2 หยิบไม้คานและกุญแจปากตายมาถือไว้ และห้ามนายวันชัยไม่ให้ไปช่วยผู้ตายพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า วันเกิดเหตุจำเลยทั้งสองพบผู้ตายโดยบังเอิญจำเลยที่ 1 ไล่ตีผู้ตายเพราะมีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน ส่วนจำเลยที่ 2 ไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับผู้ตาย ไม่ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ไล่ตีผู้ตาย ต่อเมื่อนายวันชัยหยิบไม้จะไปช่วยผู้ตายจำเลยที่ 2 จึงได้หยิบไม้คานและกุญแจปากตายมาถือและห้ามไม่ให้นายวันชัยไปช่วยผู้ตาย การกระทำของจำเลยที่ 2 ดังกล่าวจึงเป็นเพียงให้ความช่วยเหลือและให้ความสะดวกแก่จำเลยที่ 1 ในการกระทำผิด หามีเจตนาร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 1 ไม่ และที่โจทก์ฎีกาว่าทางนำสืบของจำเลยที่ 2 ไม่เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา เพราะจำเลยที่ 2 ไม่มีทางจะต่อสู้เป็นอย่างอื่น จึงต้องนำสืบยอมรับข้อเท็จจริงจึงเป็นการจำนนต่อพยานหลักฐานโจทก์ ไม่ควรลดโทษแก่จำเลยที่ 2 นั้น เห็นว่า ในชั้นสอบสวน จำเลยที่ 2 ก็ให้การรับว่าเป็นคนขัดขวางไม่ให้นายวันชัยไปช่วยผู้ตาย จึงเชื่อว่าจำเลยที่ 2 นำสืบไปตามความจริงหาได้นำสืบยอมรับข้อเท็จจริงตามที่โจทก์นำสืบไม่ จึงฟังได้ว่าคำเบิกความของจำเลยที่ 2 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share