แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 1 ได้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คพิพาทของจำเลยที่ 2 เองมอบให้ ม. นำไปเป็นประกันการชำระค่าเช่าซื้อรถยนต์จากโจทก์ส่วนตราที่ประทับไว้ในช่องผู้สั่งจ่ายในเช็คมิใช่ตราของจำเลยที่ 1จำเลยที่ 2 ย่อมจะต้องรับผิดต่อโจทก์ตามจำนวนเงินในเช็คพร้อมดอกเบี้ย นับแต่วันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด มีจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ ร่วมกันรับผิดใช้เงินตามเช็ค โดยอ้างว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คพิพาทและประทับตราของห้างจำเลยที่ 1 ย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่าโจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 2 รับผิดในฐานะผู้สั่งจ่ายด้วย มิใช่ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการห้างจำเลยที่ 1 แต่สถานเดียว เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าตราที่ประทับในช่องผู้สั่งจ่ายเป็นตราของจำเลยที่ 1ก็บังคับให้ จำเลยที่ 2 ชำระหนี้ในฐานะผู้สั่งจ่ายได้ ไม่เป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัด มีจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คธนาคารเอเซียทรัสต์ จำกัด สาขาเชียงใหม่ หมายเลข 1270736ลงวันที่ 10 มกราคม 2527 เงิน 240,000 บาท ซึ่งจำเลยที่ 2เป็นผู้สั่งจ่ายและกระทำการแทนห้างจำเลยที่ 1 โดยประทับตราสำคัญของห้างจำเลยที่ 1 แล้วมอบเช็คฉบับนั้นให้แก่โจทก์เพื่อเป็นการชำระหนี้ เมื่อเช็คถึงกำหนดชำระโจทก์นำเช็คเข้าบัญชีที่ธนาคารเพื่อเรียกเก็บเงิน ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน โดยให้เหตุผลว่ายังไม่มีการตกลงกับธนาคาร โจทก์ทวงถามจำเลยทั้งสองก็ไม่ชำระขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 240,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับตั้งแต่วันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินคือวันที่ 16 มกราคม 2527 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า เช็คตามฟ้องเป็นเอกสารปลอมเพราะตราที่ประทับมิใช่ตราสำคัญของจำเลยที่ 1 เมื่อประมาณ 2 ปีมานี้นายมงคล อินดี ได้เช่าซื้อรถยนต์ 2 คันจากโจทก์และค้างชำระค่าเช่าซื้อ โจทก์บอกนายมงคลว่า ถ้าได้เช็คมาเป็นประกันค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระแล้วจะไม่ถือว่านายมงคลผิดนัดและจะไม่ยึดรถไป จำเลยที่ 2 จึงมอบเช็คที่จำเลยที่ 2 เป็นผู้สั่งจ่ายแล้ว แต่ยังไม่ได้ประทับตราสำคัญของจำเลยที่ 1 ให้นายมงคลนำไปเป็นประกันการชำระค่าเช่าซื้อต่อโจทก์ ต่อมามีการประทับตราปลอมเป็นเช็คของจำเลยที่ 1 ขึ้น จำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องรับผิดใช้เงินตามเช็คนั้นต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ชำระเงิน 240,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่16 มกราคม 2527 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ด้วย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ฎีกาเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่าคำฟ้องของโจทก์บรรยายข้อเท็จจริงแล้วว่าจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาทต้องรับผิดต่อโจทก์ การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาทรับผิดต่อโจทก์เช่นนั้นไม่เป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงต้องกันว่า จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 1 ได้สั่งจ่ายเช็คพิพาทซึ่งเป็นเช็คของจำเลยที่ 2 เอง เพื่อค้ำประกันนายมงคล อินดีผู้เช่าซื้อรถยนต์จากโจทก์ ส่วนตราที่ประทับไว้ในช่องผู้สั่งจ่ายในเช็คพิพาทฟังไม่ได้ว่าเป็นตราของห้างจำเลยที่ 1 จึงเท่ากับจำเลยที่ 2 สั่งจ่ายเช็คพิพาทโดยไม่มีตราของห้างจำเลยที่ 1 ประทับตามข้อเท็จจริงดังกล่าวนี้มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยเป็นประการแรกว่า จำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดใช้เงินตามเช็คหรือไม่ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 900 บัญญัติว่า บุคคลผู้ลงลายมือชื่อของตนในตั๋วเงินย่อมจะต้องรับผิดตามเนื้อความในตั๋วเงินนั้น ฉะนั้นเมื่อข้อเท็จจริงตามฟ้องและทางพิจารณาฟังได้ว่า ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คพิพาท จำเลยที่ 2 ย่อมจะต้องรับผิดต่อโจทก์ชำระเงินตามเช็คพิพาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดนับแต่วันที่ 16 มกราคม 2527 ซึ่งเป็นวันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คนั้นเป็นต้นไป ส่วนปัญหาที่ว่า การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาทรับผิดต่อโจทก์เช่นนั้นเป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องหรือไม่นั้นเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด มีจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ ร่วมกันรับผิดใช้เงินตามเช็ค โดยอ้างว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คพิพาทและประทับตราของห้างจำเลยที่ 1 ย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่าโจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 2 รับผิดในฐานะผู้สั่งจ่ายด้วย มิใช่ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการห้างจำเลยที่ 1 แต่สถานเดียว เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่า ตราที่ประทับไว้ในช่องผู้สั่งจ่ายในเช็คพิพาทเป็นตราของจำเลยที่ 1 ก็บังคับให้จำเลยที่ 2 ชำระหนี้ให้โจทก์ในฐานะผู้สั่งจ่ายได้ ฉะนั้นที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาทแต่ผู้เดียวรับผิดต่อโจทก์ชำระเงินตามเช็คพิพาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดนับแต่วันที่ 16มกราคม 2527 ซึ่งเป็นวันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คนั้นเป็นต้นไป ไม่เป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ด้วยนั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น