คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 87/2532

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

การที่โจทก์ยกที่ดินให้จำเลยผู้เป็นบุตรโดยมีเงื่อนไขว่าจำเลยต้องส่งข้าวเปลือกให้โจทก์ปีละ 10 ถังนั้น ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการให้ทรัพย์สินโดยมีค่าภารติดพันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 528 แต่เป็นการยกให้โดยเสน่หา เพราะค่าภารติดพันในที่ดินต้องเป็นภารติดพันเกี่ยวกับตัวที่ดินเองโดยตรง ไม่ใช่ภารติดพันนอกตัวทรัพย์ โจทก์ซึ่งมีตัวโจทก์เพียงคนเดียวมีที่ดิน 3 ไร่เศษ ได้ข้าวปีละกว่า 100 ถัง ย่อมมีฐานะไม่ถึงกับเป็นผู้ยากไร้ ตรงข้ามกับจำเลยซึ่งมีบุตรถึง 10 คน มีที่ดินที่พิพาทแปลงเดียวเนื้อที่เพียงประมาณ 5 ไร่ ได้ข้าวปีละ 140-150 ถัง และไม่มีรายได้อื่นซึ่งถือได้ว่าเป็นผู้ยากไร้ จำเลยย่อมไม่อยู่ในฐานะที่จะจุนเจือผู้อื่นได้อีก และไม่ปรากฏว่าจำเลยด่าโจทก์หรือหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง กรณีจึงไม่มีเหตุที่จำเลยซึ่งเป็นผู้รับประพฤติเนรคุณอันจะถอนคืนการให้ได้ตามมาตรา 531(2)(3)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นมารดาของจำเลย เดิมโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินมี ส.ค.1 สองแปลง แปลงหนึ่งเป็นที่สวนปลูกบ้านที่อยู่อาศัยอยู่หมู่ที่ 8 ตำบลวังบาล อำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์อีกแปลงหนึ่งเป็นที่นาอยู่หมู่ที่ 7 ตำบลวังบาล ที่ดินทั้งสองแปลงโจทก์ได้รับมาจากนางถิน สายอุ่นใจ มารดาโจทก์เมื่อ 48 ปีมาแล้วโจทก์มีบุตรรวม 6 คน ต่อมาต้นปี 2519 โจทก์ได้ยกที่ดินทั้งสองแปลงให้แก่บุตรีเพียง 3 คน คือจำเลย นางคำเป๊าะ ทองกลึง และนางชม ต๊ะเสาร์ โดยมีเงื่อนไขว่า บุตรีทุกคนทำนาในแต่ละปีแล้วจะต้องให้ข้าวเปลือกแก่โจทก์คนละ 10 ถัง ทุกปี และจะต้องอุปการะเลี้ยงดูโจทก์กับสามีไปตลอดชีวิต ที่ดินส่วนของจำเลยแปลงที่เป็นที่ดินสำหรับปลูกบ้านจำเลยไปทำ น.ส.3 ก. ทะเบียนเลขที่ 1333 และที่นาเป็น น.ส.3 ก. ทะเบียนเลขที่ 2055 ตั้งแต่โจทก์ยกที่ดินทั้ง 2 แปลง ให้แก่จำเลย จำเลยได้ทำนาได้ข้าวเปลือกทุกปี แต่ไม่เคยให้ข้าวเปลือกแก่โจทก์เลย โจทก์ไปขอและทวงถามข้าวเปลือกตามสัญญาจำเลยก็ไม่ยอมให้โจทก์ การกระทำของจำเลยดังกล่าวโจทก์ถือว่าจำเลยทำผิดเงื่อนไขที่ทำไว้ต่อโจทก์ โจทก์มีอายุ 88 ปี ชรามากแล้วไม่สามารถทำมาหาเลี้ยงชีพด้วยตนเองและเจ็บป่วยเป็นประจำ โจทก์ไปขอเงินจากจำเลยเพื่อซื้ออาหารและยารักษาโรค แต่จำเลยไม่เคยให้เงินหรืออุปการะเลี้ยงดูโจทก์เลย นอกจากนั้นแล้วจำเลยยังประพฤติเนรคุณโจทก์เมื่อเดือนเมษายนปี 2527 โดยด่าโจทก์ว่า “เป็นหมา,ชาติหมา, อีชาติหมา, อีชาติสัตว์, อีสัตว์หมา, อีคอมมูนิสต์,อีแก่มึงพูดไม่มีศีลธรรม, มึงไม่ยุติธรรม มึงเป็นแม่แบบนี้ ชาติหน้ากูไม่ขอพบ” และคำหยาบคายอีกมาก และเมื่อปี 2526 จำเลยได้ไปแจ้งนายอำเภอหล่มเก่าให้ออกหมายเรียกโจทก์ไปอำเภอเพื่อตกลงเรื่องร่องน้ำเข้านาของจำเลยที่ต้องผ่านที่นาของนางชม ต๊ะเสาร์ถึง 3 ครั้ง ในปี 2527 อีก 2 ครั้ง ทำให้โจทก์ได้รับความอับอายขายหน้าชาวบ้านทั่วไป การกระทำของจำเลยทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงและหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง เป็นการประพฤติเนรคุณต่อโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531 ขอให้ศาลพิพากษาบังคับให้จำเลยทำการจดทะเบียนโอนที่ดินตาม น.ส.3 ก. ทะเบียนเลขที่ 1333,2055 ตำบลวังบาล อำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ ให้แก่โจทก์หากจำเลยไม่ยินยอมไปจดทะเบียนโอนที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์โจทก์ขอถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย จำเลยให้การว่า โจทก์ได้ยกที่ดินทั้ง 2 แปลง ที่พิพาทให้จำเลยเมื่อประมาณ 20 ปีเศษมาแล้ว โดยยกให้กันด้วยปากเปล่าไม่ได้ทำเป็นหนังสือหรือจดทะเบียนการให้แต่อย่างใด จำเลยได้เข้าครอบครองในที่ดินดังกล่าวในฐานะเจ้าของตลอดมา การที่โจทก์ยกที่ดินให้จำเลยไม่มีสัญญาหรือเงื่อนไขแต่อย่างใด ต่อมาปี 2519 จำเลยจึงได้ออกน.ส.3 ก. ในที่ดินทั้งสองแปลงในนามจำเลย หลังจากยกที่ดินให้จำเลยกับนางคำเป๊าะ ทองกลึง และนางชม ต๊ะเสาร์ แล้ว โจทก์เหลือที่ดินอีก 1 แปลง เนื้อที่ประมาณ 3 ไร่ ที่ตำบลวังบาลโจทก์อาศัยอยู่กับนางคำเป๊าะ ทองกลึง ซึ่งเป็นผู้เลี้ยงดูโจทก์จำเลยได้ส่งอาหารและข้าวสารไปอุปการะเลี้ยงดูโจทก์เป็นประจำโจทก์ไม่เคยทวงถามข้าวเปลือกจากจำเลย นางคำเป๊าะทำนาของโจทก์ได้ข้าวปีละ 100 กว่าถัง โจทก์มีรายได้จากที่นาและสวนมะขามอีกปีละ 5,000-6,000 บาท จึงไม่ใช่เป็นคนยากไร้ จำเลยมีบุตรถึง10 คน ทำนาได้เพียงปีละ 140 ถัง ไม่พอเลี้ยงครอบครัว มีฐานะยากจนกว่าโจทก์ โจทก์ไม่เคยขอเงินจากจำเลยเพื่อซื้ออาหารและยารักษาโรคแต่อย่างใด จำเลยไม่เคยหมิ่นประมาทโจทก์เลย จำเลยจึงมิได้ประพฤติเนรคุณโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง การที่โจทก์กล่าวมาในฟ้องว่าในการยกที่ดินให้จำเลยมีสัญญาและเงื่อนไขว่า จำเลยต้องให้ข้าวเปลือกแก่โจทก์ 10 ถังทุกปี และต้องอุปการะเลี้ยงดูโจทก์กับสามีไปตลอดชีวิตนั้นเท่ากับว่าไม่ใช่เป็นการให้โดยเสน่หา ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 521 แต่เป็นการให้โดยมีค่าภารติดพันตามมาตรา 535 ซึ่งโจทก์จะฟ้องขอถอนคืนการให้เพราะเหตุเนรคุณไม่ได้ นอกจากนี้การที่โจทก์ยกที่ดินทั้งสองแปลงให้จำเลยก็ไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนการให้กับพนักงานเจ้าหน้าที่นิติกรรมการให้จึงไม่สมบูรณ์ถือว่าไม่มีนิติกรรมการให้ต่อกันแต่จำเลยได้ที่ดินโดยการสละและส่งมอบการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1377, 1378 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยไปโอนที่ดินพิพาทคืน ขอให้ศาลยกฟ้องโจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยจดทะเบียนให้โจทก์เข้าเป็นเจ้าของร่วมในที่ดิน น.ส.3 ก. ทะเบียนเลขที่ 2055ตำบลวังบาล อำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ โดยให้โจทก์มีส่วนหนึ่งในห้าของที่ดินแปลงนี้ หากจำเลยไม่ยินยอมไปจดทะเบียนก็ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่คู่ความนำสืบรับกันฟังได้ว่า จำเลยเป็นบุตรีโจทก์ เดิมโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินมือเปล่า 2 แปลง เป็นที่นาและที่สวน ต่อมาโจทก์ได้ยกที่ดินดังกล่าวให้จำเลยและบุตรีอีก 2 คน แบ่งกันเป็นสัดส่วนโดยมิได้ทำสัญญายกให้เป็นหนังสือ ในปี 2519 จำเลยได้ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในที่ดิน ที่ได้รับมาทั้งสองแปลงตาม น.ส.3 ก.เลขทะเบียนที่ 2055 และ 1333 ต่อมาโจทก์ได้ให้ทนายความมีหนังสือบอกกล่าวเรียกที่ดินซึ่งเป็นที่นาคืนจำเลยได้รับหนังสือแล้วมิได้โอนที่ดินคืนให้โจทก์ ประเด็นในชั้นฎีกามีว่า การยกให้นี้เป็นการยกให้ในลักษณะใด และโจทก์มีสิทธิถอนคืนการให้ที่ดิน น.ส.3 ก.เลขทะเบียนที่ 2055 หรือไม่ สำหรับประเด็นที่ว่า การยกให้เป็นไปโดยลักษณะใดนั้น โจทก์จำเลยโต้เถียงกันโดยโจทก์นำสืบว่า ได้มีการตกลงกันเป็นเงื่อนไขว่าจำเลยต้องให้ข้าวเปลือกโจทก์ปีละ 10 ถังส่วนจำเลยนำสืบว่าไม่มีข้อตกลงดังกล่าว ประเด็นนี้ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ยกที่ดินให้จำเลยโดยมีค่าภารติดพัน ศาลฎีกาเห็นว่าค่าภารติดพันในที่ดินนี้ต้องเป็นภารติดพันเกี่ยวกับตัวที่ดินเองโดยตรง ไม่ใช่ภารติดพันนอกตัวทรัพย์ การที่โจทก์นำสืบว่ายกที่ดินให้จำเลยโดยมีเงื่อนไขว่าจำเลยต้องส่งข้าวเปลือกให้โจทก์ปีละ10 ถังนั้น หากฟังเป็นความจริงการยกให้ดังกล่าวก็ไม่ถือว่ามีค่าภารติดพัน เพราะไม่ได้เกี่ยวกับตัวที่ดินโดยตรง ดังนั้นการที่โจทก์ยกที่ดินให้จำเลยจึงมิใช่เป็นการให้โดยมีค่าภารติดพันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 528 แต่เป็นการยกให้โดยเสน่หา
ประเด็นต่อไปมีว่า เมื่อเป็นการยกให้โดยเสน่หาแล้ว โจทก์มีสิทธิจะเรียกถอนคืนการให้หรือไม่ โจทก์เบิกความว่า จำเลยมีที่นาพิพาทเพียงแปลงเดียวทำนาได้ข้าวปีละ 140-150 ถัง พอเลี้ยงครอบครัวได้ จำเลยมีลูก 10 คน โจทก์มีที่นา 3 ไร่ ทำนาได้ปีละกว่า100 ถัง นายเจียม อินทรมาตย์ บุตรโจทก์เบิกความเป็นพยานโจทก์ว่าจำเลยมีฐานะยากจน จำเลยเบิกความว่า ที่ดินพิพาทคือที่ดินตามน.ส.3 ก. เอกสารหมาย จ.1 เนื้อที่ 4 ไร่ 3 งาน 72 ตารางวาจำเลยมีที่ดินพิพาทเพียงแปลงเดียว ข้าวที่จำเลยปลูกไม่พอกินเห็นว่า เมื่อโจทก์มีตัวโจทก์เพียงคนเดียวมีที่ดิน 3 ไร่เศษได้ข้าวปีละกว่า 100 ถัง ย่อมมีฐานะที่ไม่ถึงกับเป็นผู้ยากไร้ตรงข้ามกับจำเลยซึ่งมีบุตรถึง 10 คน มีที่ดินเพียงประมาณ 5 ไร่ได้ข้าวปีละ 140-150 ถัง และไม่มีรายได้อื่นซึ่งถือได้ว่าเป็นผู้ที่ยากไร้ จำเลยย่อมไม่อยู่ในฐานะที่จะจุนเจือผู้อื่นได้อีกทั้งข้อเท็จจริงก็ฟังไม่ได้ว่า จำเลยด่าโจทก์หรือหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง กรณีจึงไม่อาจถอนคืนการให้ เพราะเหตุจำเลยซึ่งเป็นผู้รับประพฤติเนรคุณตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 531(2),(3) ได้”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

Share