แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ได้บรรยายฟ้องแจ้งชัดว่าจำเลยออกเช็ค 2 ฉบับ เมื่อปรากฏว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันตามเช็คแต่ละฉบับ ศาลย่อมลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 แม้โจทก์ไม่ได้อ้างบทมาตราดังกล่าวมาในคำขอท้ายฟ้องก็จะถือว่าศาลลงโทษเกินคำขอหาได้ไม่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(6) เพียงแต่บัญญัติให้โจทก์อ้างมาตราในกฎหมายซึ่งบัญญัติว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นความผิดเท่านั้น โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดกับจำเลยที่ 2 ที่ 3 กรรมการร่วมกันออกเช็คอันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค จำเลยที่ 1โดย ธ.และร. กรรมการผู้มีอำนาจลงชื่อผูกพันจำเลยที่ 1ได้ตั้งทนายความก่อนมีการไต่สวนมูลฟ้อง ย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ 1ได้เข้ามาในคดีนี้แล้วนับตั้งแต่วันที่ตั้งทนายความ เมื่อจำเลยที่ 3 ในนามของจำเลยที่ 1 และในฐานะส่วนตัวให้การรับสารภาพโดยจำเลยที่ 3 กับทนายจำเลยผู้นั้นลงลายมือชื่อท้ายคำให้การและรายงานกระบวนพิจารณา การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลที่พิพากษาลงโทษปรับจำเลยที่ 1 จึงชอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 172
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วประทับฟ้อง จำเลยที่ 1 ที่ 3 ให้การรับสารภาพ ส่วนจำเลยที่ 2 หลบหนี ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีชั่วคราวศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 ที่ 3 มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 รวม 2 กระทงปรับจำเลยที่ 1 กระทงละ 20,000 บาท รวมเป็นเงิน 40,000 บาท จำคุกจำเลยที่ 3 กระทงละ 1 ปี รวมเป็น 2 ปี จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพภายหลังสืบพยานโจทก์ไปบ้างแล้ว และจำเลยทั้งสองชำระเงินให้โจทก์เป็นเงิน 30,000 บาท เป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 20,000 บาท จำคุกจำเลยที่ 3 เหลือ 1 ปีถ้าจำเลยที่ 1 ไม่ชำระค่าปรับ ให้ยึดทรัพย์สินใช้แทนค่าปรับ จำเลยที่ 1 ที่ 3 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว พิพากษายืน จำเลยที่ 1ที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาจะต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยที่ 1 ที่ 3 ข้อ 2 ว่า คดีนี้โจทก์มิได้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยเป็น2 กรรม และโจทก์มิได้อ้างประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 มาในคำขอท้ายฟ้อง การที่ศาลล่างทั้งสองลงโทษจำเลยเป็น 2 กรรม จึงเป็นการเกินคำขอขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192นั้น พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า โจทก์ได้บรรยายฟ้องมาแจ้งชัดว่าจำเลยออกเช็ค 2 ฉบับ เมื่อปรากฏว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันตามเช็คแต่ละฉบับเช่นนี้ ศาลย่อมต้องลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จะถือว่าศาลลงโทษเกินคำขอหาได้ไม่ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158(6) เพียงแต่บัญญัติให้โจทก์อ้างมาตราในกฎหมายซึ่งบัญญัติว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นความผิดเท่านั้น หาได้บัญญัติให้จำต้องอ้างถึงบทมาตราเกี่ยวกับการลงโทษหลายกรรมด้วยไม่ ศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้ว ฎีกาจำเลยที่ 1 ที่ 3 ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
จำเลยที่ 1 ที่ 3 ฎีกาข้อ 3 ว่า ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 เป็นการมิชอบ เพราะจำเลยที่ 1 ไม่ได้ให้การรับสารภาพนั้น พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงในสำนวนได้ความว่า โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบริษัทจำกัดกับจำเลยที่ 2 ที่ 3 ซึ่งเป็นกรรมการฐานร่วมกันเป็นตัวการออกเช็คพิพาทอันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 ชั้นไต่สวนมูลฟ้อง จำเลยที่ 1 โดยนายธรรมนูญ กัจฉัปนันท์ และนางสาวเรขากัจฉัปนันท์ กรรมการซึ่งมีอำนาจลงชื่อผูกพัน บริษัทจำเลยที่ 1ได้ตั้งนายตระกูล บุญปาสานเป็นทนายความของจำเลยที่ 1 ปรากฏตามใบแต่งทนายความลงวันที่ 14 ตุลาคม 2528 ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง จำเลยที่ 2 ที่ 3 หลบหนีศาลชั้นต้นจึงออกหมายจับจำเลยที่ 2 ที่ 3 และมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีชั่วคราว ต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยที่ 3 ได้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคดีสำหรับจำเลยที่ 1 ที่ 3 ขึ้นพิจารณาต่อไป ในวันนัดพร้อมเพื่อกำหนดวันนัดสืบพยานโจทก์ จำเลยที่ 3 ตั้งนายตระกูล บุญปาสาน ทนายความของจำเลยที่ 1 เป็นทนายความของจำเลยที่ 3 ด้วย และขอเลื่อนคดีโดยอ้างว่าเอกสารไม่พร้อมศาลชั้นต้นได้อ่านและอธิบายฟ้องให้ฝ่ายจำเลยฟังและสอบถามคำให้การจำเลยแล้ว จำเลยที่ 3 ในนามของจำเลยที่ 1 และในฐานะส่วนตัวให้การปฏิเสธ ปรากฏตามคำให้การจำเลยลงวันที่ 27 ธันวาคม 2528 ประกอบกับรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ดังกล่าว ในวันนัดสืบพยานโจทก์ครั้งต่อมา โจทก์จำเลยที่ 3 ในนามของจำเลยที่ 1 และในฐานะส่วนตัวกับทนายจำเลยที่ 1 ที่ 3 มาศาล เมื่อสืบพยานโจทก์ได้ 1 ปาก จำเลยที่ 3 ในนามของจำเลยที่ 1 และในฐานะส่วนตัวขอถอนคำให้การเดิมที่ปฏิเสธฟ้องโจทก์ตลอดข้อหา แล้วให้การใหม่ว่ารับสารภาพตามฟ้องปรากฏตามคำให้การจำเลยลงวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2528 (ที่ถูกเป็น 2529)ประกอบกับรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ดังกล่าว โดยมีจำเลยที่ 3 และทนายจำเลยลงลายมือชื่อท้ายคำให้การและรายงานกระบวนพิจารณาฝ่ายจำเลยขอให้เลื่อนการอ่านคำพิพากษาไปหลายครั้ง ครั้งสุดท้ายขอเลื่อนจากวันที่ 15 ตุลาคม 2529 ไปอีกโดยอ้างว่าจำเลยที่ 3ป่วย ศาลชั้นต้นไม่เชื่อว่าจำเลยที่ 3 ป่วยจริง จึงไม่อนุญาตให้เลื่อน แล้วพิพากษาลงโทษปรับจำเลยที่ 1 ตามคำให้การรับสารภาพดังกล่าว ตามข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้นนี้ ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยที่ 1 เป็นบริษัทจำกัด เป็นนิติบุคคลจึงเป็นเพียงบุคคลสมมติโดยอำนาจของกฎหมาย ดำเนินหรือปฏิบัติงานตามวัตถุประสงค์ของบริษัทด้วยตนเองไม่ได้ ต้องดำเนินหรือปฏิบัติงานโดยผู้แทน นายธรรมนูญกัจฉัปนันท์ และนางสาวเรขา กัจฉัปนันท์ ซึ่งเป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงชื่อผูกพันบริษัทจำเลยที่ 1 ตามหนังสือรับรองของสำนักทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานคร เอกสารหมาย จ.2 จึงเป็นผู้รับผิดชอบในการดำเนินหรือปฏิบัติงานของบริษัทจำเลยที่ 1ดังนั้นเมื่อนายธรรมนูญ กัจฉัปนันท์ และนางสาวเรขา กัจฉัปนันท์ลงชื่อด้วยกันและประทับตราบริษัทจำเลยที่ 1 ในการตั้งนายตระกูลบุญปาสาน เป็นทนายความของจำเลยที่ 1 ตั้งแต่ก่อนมีการไต่สวนมูลฟ้องปรากฏตามใบแต่งทนายความลงวันที่ 14 ตุลาคม 2528 เช่นนี้จึงถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้เข้ามาในคดีนี้แล้วนับตั้งแต่วันที่ตั้งทนายความเป็นต้นไปและจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพตามฟ้องตามคำให้การจำเลยลงวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2528 (ที่ถูกเป็น 2529) แล้วการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 จึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 172 ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 3 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน”