แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดชำระเงินโบนัสหรือเงินเพิ่มพิเศษตามสัญญาว่าจ้างที่จำเลยทั้งสองว่าจ้างโจทก์ให้เป็นผู้ควบคุมงานโครงการก่อสร้างวางท่อก๊าซธรรมชาติที่จำเลยทั้งสองเป็นผู้รับงานก่อสร้างมาจากก.จำเลยที่1ให้การว่าโจทก์ไม่เคยมีนิติสัมพันธ์กับจำเลยโจทก์เป็นเพียงถูกยืมชื่อให้มาเป็นคู่สัญญากับจำเลยคู่สัญญากับจำเลยที่แท้จริงและผู้ที่ทำงานให้แก่จำเลยคือซ. ไม่ใช่โจทก์โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องส่วนจำเลยที่2ซึ่งเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายของประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมันขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาดังนี้โจทก์จึงมีภาระการพิสูจน์ให้รับฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองได้ทำสัญญาว่าจ้างโจทก์ให้เป็นผู้ควบคุมงานและจำเลยทั้งสองจะต้องรับผิดชำระเงินโบนัสหรือเงินเพิ่มพิเศษให้โจทก์ตามสัญญาว่าจ้างดังกล่าว การที่คู่ความฝ่ายใดจะอ้างอิงเอกสารใดเป็นพยานหลักฐานในคดีคู่ความฝ่ายนั้นจะต้องนำพยานบุคคลมาสืบประกอบถึงความแท้จริงและความมีอยู่ซึ่งเอกสารนั้นๆเว้นแต่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งจะยอมรับแล้วดังนั้นการที่โจทก์ฎีกาว่าเอกสารที่อ้างเป็นพยานเป็นเอกสารโต้ตอบทางโทรสารทางไกลจากต่างประเทศซึ่งทั่วโลกยอมรับฟังให้เป็นพยานหลักฐานได้โดยไม่ต้องมีพยานบุคคลมานำสืบนั้นจึงเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินโบนัสจำนวน2,733,643.79บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ7.5ต่อปีนับแต่วันที่25ตุลาคม2534เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่1ให้การว่าโจทก์ไม่มีนิติสัมพันธ์กับจำเลยทั้งสองเพราะมิได้ทำสัญญาตามฟ้องกับจำเลยคู่สัญญาที่แท้จริงคือนายซูเร็นเฮชเยเรียซาเรี่ยน โจทก์ผิดสัญญาจึงไม่มีสิทธิเรียกค่าจ้างโบนัสตามคำฟ้องและไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่2ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าคดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าจำเลยทั้งสองจะต้องร่วมกันรับผิดชำระเงินโบนัสหรือเงินเพิ่มพิเศษให้แก่โจทก์ตามฟ้องหรือไม่เห็นว่าคดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดชำระเงินโบนัสหรือเงินเพิ่มพิเศษตามสัญญาว่าจ้างที่จำเลยทั้งสองว่าจ้างโจทก์ให้เป็นผู้ควบคุมงานโครงการก่อสร้างวางท่อก๊าซธรรมชาติที่จำเลยทั้งสองเป็นผู้รับงานก่อสร้างมาจากการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย จำเลยที่1ให้การว่าโจทก์ไม่เคยมีนิติสัมพันธ์กับจำเลยโจทก์เป็นเพียงถูกยืมชื่อให้มาเป็นคู่สัญญากับจำเลยคู่สัญญากับจำเลยที่แท้จริงและผู้ที่ทำงานให้แก่จำเลยคือนายซูเร็น หรือบริษัทยูเอไอ ไม่ใช่โจทก์โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องส่วนจำเลยที่2ซึ่งเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายของประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมันขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาดังนี้โจทก์จึงมีภาระการพิสูจน์ให้รับฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองได้ทำสัญญาว่าจ้างโจทก์ให้เป็นผู้ควบคุมงานและจำเลยทั้งสองจะต้องรับผิดชำระเงินโบนัสหรือเงินเพิ่มพิเศษให้โจทก์ตามสัญญาว่าจ้างดังกล่าวแต่โจทก์คงมีพยานบุคคลมาเบิกความ2ปากคือนายอาณัติอาภาภิรมย์ และนายชินชาติวัฒนสุชาติ โดยนายอาณัติซึ่งเคยเป็นผู้ว่าการการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยเบิกความประกอบสัญญาจ้างเอกสารหมายจ.2ว่าปี2533การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ได้ว่าจ้างจำเลยทั้งสองเพื่อก่อสร้างวางท่อก๊าซธรรมชาติของสถานีย่อยบางประกง จังหวัดฉะเชิงเทราโดยนายอาณํติเป็นผู้ลงนามในสัญญาเอกสารหมายจ.2ดังกล่าวและมีนายชินชาติซึ่งเป็นผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์เบิกความว่าจำเลยทั้งสองได้ว่าจ้างโจทก์ให้ทำงานนอกจากจะต้องจ่ายเงินค่าจ้างแล้วยังต้องจ่ายเงินโบนัสหรือเงินเพิ่มพิเศษให้แก่โจทก์อีกเมื่องานเสร็จเรียบร้อยในอัตราร้อยละ15ของค่าจ้างทั้งหมดซึ่งค่าจ้างทั้งหมดที่จำเลยทั้งสองจะต้องจ่ายให้โจทก์ประมาณ700,000ดอลลาร์สหรัฐซึ่งโบนัส15เปอร์เซ็นต์จะเป็นเงินประมาณ106,000ดอลลาร์สหรัฐซึ่งคิดเป็นเงินไทยถึงวันฟ้องประมาณ2,700,000บาทเห็นว่านายชินชาติเป็นเพียงผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์และไม่ปรากฎว่ามีส่วนเกี่ยวข้องหรือรู้เห็นในการทำสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสองแต่ประการใดและคำเบิกความของนายชินชาติก็เป็นคำเบิกความลอยๆมิได้เบิกความอ้างอิงถึงหลักฐานอื่นๆหรือเอกสารอื่นใดเพื่อสนับสนุนคำเบิกความของตนส่วนพยานเอกสารอื่นๆนอกจากเอกสารหมายจ.2ที่โจทก์อ้างส่งต่อศาลก็มิได้มีพยานโจทก์คนใดเบิกความรับรองเอกสารดังกล่าวพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาจึงยังไม่มั่นคงให้รับฟังว่าจำเลยทั้งสองได้ทำสัญญาว่าจ้างโจทก์และคงค้างชำระหนี้แก่โจทก์ตามสัญญาทั้งจำเลยที่1ซึ่งมีนายณรงค์เกษมตรูกรรมการผู้จัดการจำเลยที่1มาเบิกความเป็นพยานก็เบิกความปฏิเสธว่ามิได้ทำสัญญากับโจทก์แต่ได้ตกลงให้นายซูเร็นเป็นผู้จัดหาผู้เชี่ยวชาญให้แก่จำเลยทั้งสองโดยนายชูเร็นได้ให้บริษัทโจทก์มาดำเนินงานการทำสัญญานายซูเร็นเป็นผู้ลงชื่อแต่เขียนชื่อว่านายสตีฟดรากอส และมิได้มีการประทับตราของบริษัทโจทก์การนำเงินไปชำระก็ไปชำระให้แก่นายซูเร็น ซึ่งเท่ากับจำเลยที่1ยังต่อสู้อยู่ว่ามิได้ทำสัญญาว่าจ้างโจทก์และได้ทำสัญญากับนายซูเร็น โดยใช้ชื่อโจทก์เป็นคู่สัญญาจะถือว่าจำเลยที่1ยอมรับว่าจำเลยทั้งสองทำสัญญาว่าจ้างโจทก์ดังที่โจทก์ฎีกาหาได้ไม่
ที่โจทก์ฎีกาว่าโจทก์มีหลักฐานนำสืบว่าจำเลยทั้งสองได้จ่ายเงินค่าจ้างให้แก่โจทก์แล้วจริงเป็นเงิน713,000.50ดอลลาร์สหรัฐและจำเลยทั้งสองก็มิได้ให้การปฏิเสธนั้นเห็นว่าโจทก์คงมีนายชินชาติมาเบิกความลอยๆว่าจำเลยทั้งสองได้จ่ายเงินค่าจ้างให้แก่โจทก์เท่านั้นและที่จำเลยทั้งสองมิได้ให้การปฏิเสธว่าไม่ได้จ่ายเงินจำนวนนี้ก็หาได้หมายความว่าจำเลยยอมรับว่าจำเลยทั้งสองได้ว่าจ้างโจทก์ไม่เพราะจำเลยที่1ยังต่อสู้ว่าจำเลยทั้งสองทำสัญญาว่าจ้างนายซูเร็น โดยใช้ชื่อของโจทก์ซึ่งเท่ากับนายซูเร็นเป็นคู่สัญญาหรือได้ทำสัญญาโดยตรงกับจำเลยทั้งสองในฐานะที่เป็นตัวการส่วนที่โจทก์ฎีกาว่านายณรงค์พยานจำเลยเบิกความรับว่ามีการชำระเงินตามเอกสารหมายจ.5และยอมรับว่าไม่มีฝ่ายใดคัดค้านก่อนลงชื่อในสัญญาจ้างเอกสารหมายจ.9นั้นเห็นว่าตามเอกสารหมายจ.5เป็นใบแสดงการชำระเงินค่าจ้างตามใบเรียกเก็บเงินตั้งแต่วันที่15ตุลาคม2533ถึงวันที่17ตุลาคม2534มิได้มีข้อความระบุว่าเป็นการชำระหนี้ให้แก่โจทก์ในฐานะที่เป็นคู่สัญญาว่าจ้างกับจำเลยทั้งสองส่วนที่นายณรงค์เบิกความว่าไม่มีฝ่ายใดคัดค้านก่อนลงชื่อในเอกสารหมายจ.9ก็มิได้หมายความว่านายณรงค์ยอมรับว่าจำเลยทั้งสองได้ทำสัญญาว่าจ้างโจทก์เพราะนายณรงค์ได้เบิกความแล้วว่านายซูเร็นเป็นผู้ที่ให้ลงนามในสัญญาดังกล่าวเพราะเกรงว่าจะไม่ได้รับชำระเงินที่จำเลยทั้งสองให้นายซูเร็นจัดหาผู้ควบคุมงาน
ที่โจทก์ฎีกาว่าเอกสารที่อ้างเป็นพยานเป็นเอกสารโต้ตอบทางโทรสารทางไกลจากต่างประเทศซึ่งทั่วโลกยอมรับฟังให้เป็นพยานหลักฐานได้โดยไม่ต้องมีพยานบุคคลมานำสืบนั้นเห็นว่าน่าจะเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเพราะการที่คู่ความฝ่ายใดจะอ้างอิงเอกสารใดเป็นพยานหลักฐานในคดีคู่ความฝ่ายนั้นจะต้องนำพยานบุคคลมาสืบประกอบถึงความแท้จริงและความมีอยู่ซึ่งเอกสารนั้นๆเว้นแต่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งจะยอมรับแล้วเมื่อพยานหลักฐานโจทก์ยังไม่มั่นคงให้รับฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองได้ทำสัญญาว่าจ้างโจทก์และจะต้องรับผิดชำระเงินให้แก่โจทก์ตามฟ้องจำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์
พิพากษายืน